svasdssvasds

สรุปดราม่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย แฟนหนังคิดเห็นอย่างไรในกรณีนี้

สรุปดราม่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย แฟนหนังคิดเห็นอย่างไรในกรณีนี้

SPRiNG สรุปดราม่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย หลังเกิดเป็นปมร้อนชวนถกเถียงให้กับแฟนหนัง ต้นสายปลายเหตุมาจากแห่งใด แล้วผู้คนคิดเห็นอย่างไรบ้างในกรณีนี้ พร้อมกับฟังเหตุผลจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์ ธนพัฒน์ วงษ์วิสิทธิ์ เขามองเรื่องนี้อย่างไร

จากกระแสดราม่าของเพจหนังเพจหนึ่ง ที่ได้ออกมาพูดถึงการรับชมภาพยนตร์ต่างประเทศว่าไม่ควรดูหนังพากย์ไทย โพสต์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับแฟนหนังที่ชื่นชอบการรับชมหนังพากย์ไทย หรือแม้กระทั่งคนในแวดวงนักพากย์ไทยก็ไม่พอใจกับประโยค “ไม่ควรดูพากย์ไทย

เปิดเหตุผลจากเพจหนังต้นโพสต์: ทำไมถึงไม่ควรดูหนังพากย์ไทย?

อย่างไรก็ดี ทางเพจได้ออกมาเปิดเผยเพิ่มเติมว่าทำไมถึงไม่ควรดูพากย์ไทย โดยระบุว่า “หนังฝรั่ง ญี่ปุ่น หรือหนังที่ไม่ได้พูดภาษาไทย ก็ยังคงต้องเน้นย้ำว่า #ไม่ควรดูพากย์ไทย ด้วยเหตุผล ภาพยนตร์ เสียงเองก็เป็นปัจจัยสำคัญ เช่นเดียวกับภาพ การได้รับฟังเสียงของต้นฉบับ ของนักแสดงที่เล่น ที่ผู้กำกับเลือกคัตนั้น คือการเสพย์งานแบบที่เต็มอรรถรสที่สุด”

“เช่นเดียวกับหนังไทย ต่อให้ได้วาคีน ฟีนิกซ์มาพากย์เสียงอังกฤษ ผมก็จะบอกว่าให้ดูเสียงต้นฉบับ #ไม่ควรดูพากย์อังกฤษ เพราะผมยึดถือว่าการดูในสิ่งที่ผู้สร้างต้องการนั้น คือที่สุด”

รวมความคิดเห็นต่อกรณี #ไม่ควรดูพากย์ไทย

ประเด็นดังกล่าวสร้างการถกเถียงอย่างเป็นวงกว้าง และมีหลากหลายความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับโพสต์ดังกล่าว สปริงนิวส์รวบรวมความคิดเห็นมาให้ผู้อ่านได้พิจารณากัน

ทางฝั่งของคนที่เห็นด้วยระบุไว้ว่าการรับชมเสียงออริจินัลจากต่างประเทศน่าจะเป็นช้อยส์ที่ดีที่สุด เพราะเมื่อภาษาถูกแปลไปสู่อีกภาษาหนึ่ง ความแตกต่างทางวัฒนธรรมอาจทำให้ผู้ชมพลาดมุก หรือบริบทสำคัญที่หนังต้องการจะสื่อ

ทั้งนี้ มีความเห็นที่บอกว่า การจะ "ดู" หรือ "ไม่ดู" หนังพากย์ไทยนั้นเป็นเรื่องของปัจเจก รสนิยมความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อาจมีทั้งคนที่ดูหรือไม่ดู แล้วควรระมัดระวังคำพูด หรือถ้อยคำในการชี้แนะผู้คนให้มากกว่านี้

และมีความเห็นอีกจำนวนมากที่บอกว่าเห็นใจนักพากย์ไทย และมองว่าการใช้คำว่า "ไม่ควร" เป็นการลดทอนคุณค่าอาชีพของนักพากย์ 

*นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความคิดเห็นเท่านั้น

นักวิจารณ์ภาพยนตร์ วอนเปิดใจให้หนังพากย์ไทย แล้วจะเห็นความงามของศิลปะเสียง

คุณ ธนพัฒน์ วงษ์วิสิทธิ์ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Thanapat Wongwisit เกี่ยวกับประเด็น #ไม่ควรดูพากไทย์ โดยมี 3 ประเด็นสำคัญ ดังนี้ 

“เห็นคนรอบตัวแชร์ #ไม่ควรดูพากย์ไทย จากเพจหนังเพจหนึ่ง พอเห็นแชร์มาก ๆ ก็รู้สึกอดคันปากไม่ได้จนต้องพิมพ์”

“ส่วนตัวในฐานะเป็นคนดูหนัง ถามว่า #พากย์ไทย มีความจำเป็นต้องฟังหรือไม่ ? เลยขอบันทึกคำตอบสำหรับตนเองก่อน”

1. การข้ามกำแพงทางด้านภาษา

ส่วนหนึ่งของการเกิดพากย์ไทยช่วงเวลาดังกล่าวมาจากช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่าง หนังเงียบอยู่ช่วงขาลง กับ หนังเสียงเข้ามาในสยาม ตอนนั้นทางเจ้าของโรงภาพยนตร์พัฒนากรประสบปัญหาคนดูหนังลดน้อยลง นาย ต่วน ยาวะประภาษ ซึ่งตอนนั้นเป็นบรรณธิการหนังสือภาพยนตร์รายเดือนในชื่อ“ภาพยนตร์สยาม”(ซึ่งเป็นหนังสือภาพยนตร์รายเดือนเล่มแรกของสยาม)และเป็นหนังสือของเครือโรงหนัง นายต่วนเคยเรียนที่ญี่ปุ่นและเห็นการพากย์ของญี่ปุ่นมาก่อน เขาจึงเสนอให้มีการพากย์เสียงทับหนังขึ้นมา ทางโรงหนังไม่มีทางเลือกอื่นจนต้องอนุญาตให้ลอง นายต่วนจัดการด้วยการเตรียมบทพากย์ เขาใส่นุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อราชปะแตน ยืนบนเวทีข้างหน้าจอ ในมือมีไฟส่องบท 1 ดวงและโทรโข่ง 1 ตัว และเริ่มบรรยายบทพูดและบทสนทนาขึ้น ทั้งนี้ยังรวมถึงการทำเสียงประกอบเองด้วย ถึงแม้นายต่วนจะไม่ใช่นักแสดง เสียงแข็งไร้อารมณ์ แต่ด้วยความแปลก เสียงตอบรับของคนไทยต่อการพากย์ก็ตอบสนองเป็นอย่างดี (การพากย์หนังเงียบญี่ปุ่นสามารถดูได้จาก Talking The Pictures หนังผู้กำกับ Shall We Dance : https://youtu.be/Wj546a5frJE?si=QS5hF8Igm40oJS6r )

สาเหตุที่ตอบรับเป็นอย่างดีมาจากภาพยนตร์เงียบในช่วงเวลาดังกล่าว เสียงในหนังที่เข้ามาในยุคแรกมีการพูดภาษาต่างประเทศจึงฟังไม่รู้เรื่องจนต้องมีการแปลเป็นบทขึ้นมา การกระทำของนายต่วนจึงเป็นปรากฎการณ์ต้นสายการพากย์หนังในไทย

ต่อมาในปี 2470 นาย สิน สีบุญเรือง (ทิดเขียว) เพื่อนนายต่วนและญาติโรงหนังดังกล่าว เห็นโอกาสในการทดลองพากย์เสียงไทย ด้วยความสามารถด้านการพากย์โขนสดก็ดัดแปลงใช้เป็นพากย์หนังสด ด้วยความที่ตนพากย์คนเดียวจึงรับบททุกวัย ทุกเพศ สัตว์ จนถึงเสียงประกอบ เช่น เสียงปืน เป็นต้น ( จะบทเด็กชาย เด็กหญิง คนแก่ ไก่ หมา ก็เหมาหมด ) ผลตอบรับกลายเป็นกระแสบวกอย่างล้นหลาม

ถัดมาในช่วงหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 การพากย์ก็เกิดเป็นยุคทองอีกครั้งโดยนำโมเดลการพากย์แบบ นายสิน มาประกอบการพากย์ กลายเป็นยุคทองของหนังฟิล์ม 16 มม. ที่เป็นช่วงการฉายหนังกลางแปลงและนักพากย์เร่ (รวมถึงฉายหนังแบบรถvายยา ) ซึ่งค่านิยมของการพากย์ก็ยังเป็นที่นิยมและมีชื่อไม่แพ้ดาราในหนัง ซึ่งถ้าใครนึกไม่ออกให้นึกถึงหนังไทย “มนต์รักนักพากย์”

ฉะนั้นการพากย์ไทยจึงเป็นการข้ามกำแพงภาษาให้เข้าใจหนังมากขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว

2 ) ลดช่องว่างระหว่างชนชั้น

จะเห็นได้ว่าการพากย์ไทยแรกเดิมมาจากสื่อสารที่เข้าถึงง่ายและสนุกกับลีลาของผู้พากย์ อีกทั้งการรับจ้างพากย์หนังกลางแปลง มันต้องการพื้นที่ใหญ่ในการฉาย เช่น วัด หรือ งานมงคล เป็นต้น มันจึงเป็นการสร้างคอมมูนิตี้สำหรับชาวบ้านที่มานั่งดู (ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนชนชั้นล่างและกลาง) ฉะนั้นการพากย์ไทยจึงเป็นการสร้างพื้นที่ประกอบการเรียกรายได้แก่ชุมชน(แม้ในระยะสั้น)อีกด้วย หากมองที่ช่องว่างระหว่างชนชั้น การพากย์เป็นการช่วยย่อยความเข้าใจของคนดูต่องานศิลปะเช่น ภาพยนตร์ และ แอนิเมชัน ให้ดูเข้าใกล้ง่ายและแตะถึง

3 ) การพากย์ไทยเป็นการย่อยสารให้ง่าย เหมาะกับทุกวัย

ผู้เขียนมั่นใจว่าคนไทยส่วนใหญ่เติบโตมากับงานพากย์ไทยจากแอนิเมชัน ( ดิสนีย์ ) หรืออนิเมะญี่ปุ่น เป็นสำคัญ ซึ่งไม่ว่ากี่รุ่นก็ต้องผ่านมือบ้างเนื่องจากความง่ายในการสื่อสารแบบย่อยง่าย (โดยเฉพาะภาษาที่สองอย่างภาษาอังกฤษ) เพื่อให้เด็กเข้าถึงงานได้ง่ายเนื่องจากเป็นการช่วยลดระยะจากตัวอักษรให้มองภาพได้มากขึ้น

อีกส่วนคือคนไทยมีพฤติกรรมทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เหมือนกับแม่บ้านช่วงยุคละครสบู่ยุค 50 พากย์ไทยจึงเป็นโอกาสในการลดการมองจากภาพ ถึงทำกิจกรรมได้ด้วยก็สามารถรู้เนื้อหาของสิ่งที่ดูได้ หรือย่อยสิ่งที่ยากเพื่อสื่อสารให้ง่ายขึ้น เช่น รายการแนววิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เป็นต้น หรือช่วยบุคคลที่นึกภาพไม่ออกให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น (เช่น คนตาบอด หรือ สายตาสั้น)

ทั้งนี้จากทั้งหมด 3 อย่างก็พึงถึงประโยชน์ของงานพากย์ไทยได้ทั้งเชิงอรรถรสและความสำคัญของงานศิลปะ

ในระยะหลังของทีมอินทรีย์ และ พันธมิตร (ซึ่งจะคุ้นเคยผ่านงานฝรั่งและเอเชีย ผ่านมีเดียตั้งแต่วิดิโอเทป ซีดี ดีวีดี ช่องทีวี และเคเบิล) แม้ทีมพากย์จะแตกตัวจากกลุ่มเป็นอิสระ แต่การสื่อสารเท่าต้นฉบับและความสนุกของการดูก็ยังคงผ่านสายตาของคนดูชาวไทยไม่มากก็น้อย ยิ่งนับวันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการปั้นตัวละครเป็นการแสดงมากขึ้นเพื่อยกระดับให้เท่าสากล การพากย์จึงเป็นงานเชิงศิลปะผ่านการใช้เสียงที่มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนหน้าตาไม่แพ้การแสดงผ่านร่างกายเลย

ถึงแม้เรื่องอรรถรสส่วนบุคคลจะเป็นเรื่องเชิงปัจเจก เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ชอบต้องมีคนไม่ชอบบ้างด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่ในแง่ความเป็น “สื่อ”โดยเฉพาะงานศิลปะ มันต้องเปิดใจให้กว้างเพื่อตอบรับคำวิจารณ์หรือวาดลวดลายทางอารมณ์อย่างเข้าอกเข้าใจ ฉะนั้นการเข้าใจความหลากหลายจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะคำว่า “ไม่ควร” นอกจากเป็นการตัดตัวเลือกในเชิง “ติ” มันยังส่อความโดยนัยถึงความ “ไม่งาม”ด้วย ทางเพจดังกล่าวจึงควรใช้คำที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ #ไม่ควรดูพากย์ไทย (ถ้าเป็นผู้เขียนจะใช้คำว่า “ไม่สันทัด” เพื่อลดเรื่องการแนะนำ และ เปิดโอกาสให้คนดูได้เลือกมากขึ้น)

ฉะนั้นลองปิดตาสักข้าง หรือตีลังกาดูอีกสักรอบ เผื่อเห็นความงามของศิลปะที่เรียกว่า“เสียง”เผื่อจะเห็นสุนทรียะของการฟังเสียงไทยมากขึ้นนะครับ”

#เป็นกำลังใจให้นักพากย์ไทยครับ

คุณคิดเห็นอย่างไร? กรณี #ไม่ควรดูหนังพากย์ไทย สามารถแชร์กันมาได้ว่าคุณชอบดูหนังพากย์ไทย หรือชอบดูต้นฉบับที่เป็นภาษาต่างประเทศมากกว่ากัน

 

ที่มา: Thanapat Wongwisit

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related