SHORT CUT
สธ. เผยปีนี้อุณหภูมิประเทศไทยอาจพุ่งสูงถึง 44.5 องศาเซลเซียส ห่วงกระทบต่อสุขภาพประชาชน เสี่ยงเกิดโรคลมแดด หรือ ฮีทสโตรก นตรายถึงขั้นเสียชีวิต แนะวิธีป้องกัน สังเกตอาการ พร้อมการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ปีนี้หน้าร้อนประเทศไทยน่าเป็นห่วงอย่างมาก หลังกรมอุตุนิยมวิทยา มีการออกประกาศเรื่อง การคาดหมายลักษณะอากาศช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย พ.ศ. 2567 ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงปลายเดือนพฤษภาคม คาดการณ์ว่าอุณหภูมิปีนี้จะสูงขึ้นกว่าปีก่อนอาจถึง 44.5 องศาเซลเซียส ซึ่งหากสังเกตุจะพบว่าประเทศไทยอุณหภูมิขยับสูงขึ้นเกือบทุกปี
ล่าสุด นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา มีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยดูได้จากค่าดัชนีความร้อน ซึ่งเป็นค่าที่สะท้อนความรู้สึกร้อนของร่างกาย จากการนำอุณหภูมิของอากาศมาคิดร่วมกับความชื้นสัมพัทธ์ เนื่องจากเมื่อความชื้นสัมพัทธ์สูงจะทำให้เหงื่อระเหยยากและส่งผลให้รู้สึกร้อนกว่าอุณหภูมิจริงของอากาศ
หากค่าดัชนีความร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียส จะมีความเสี่ยงเกิดโรคลมแดด หรือโรคฮีทสโตรก (Heat Stroke) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายร้อนจัดจนส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย และเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
ควรอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกส่วนผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงแต่ต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน จะมีโอกาสเกิดฮีทสโตรกได้เช่นกัน ดังนั้น หากต้องทำงานกลางแจ้ง ควรเลี่ยงการสวมชุดที่มีสีเข้ม เนื่องจากจะดูดซับความร้อนได้ดี ดื่มน้ำมากๆ และสลับเข้าพักในที่ร่มเป็นระยะ เช่น ทุก 30 นาที หรือทุกชั่วโมง
หากเริ่มมีอาการดังกล่าว ขอให้รีบเข้าที่ร่มหรือห้องที่มีความเย็น และดื่มน้ำมาก ๆ
ให้ผู้ป่วยนอนราบ ยกเท้าและสะโพกสูง คลายเสื้อผ้าให้หลวม ถอดเสื้อผ้าออกเท่าที่จำเป็น ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัว ซอกคอ รักแร้ และศีรษะ ร่วมกับใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน หากผู้ป่วยหมดสติ ให้จับนอนตะแคงเพื่อป้องกันโคนลิ้นอุดตันทางเดินหายใจ และหากปฐมพยาบาลแล้วอาการไม่ดีขึ้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาล หรือโทรแจ้งสายด่วน 1669
ทั้งนี้ สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคฮีทสโตรคได้ด้วยการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีแดดนานเกินไป หรือหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมาก โดยเฉพาะการออกกำลังกายกลางแจ้ง แต่หากต้องการออกกำลังกาย ควรปฏิบัติดังนี้