องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า “ความเหงา” ได้ถูกประกาศให้เป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพระดับโลก โดยเป็นสาเหตุคร่าชีวิตผู้คนเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่สูงถึง 15 มวนต่อวัน
เหตุเกิดจาก "ความเหงา" ใครหลายคนอาจมองเป็นแค่เรื่องของอารมณ์หรือความรู้สึกเพียงชั่วขณะหนึ่ง ที่ไม่น่าสร้างปัญหาให้ใคร แต่ข้อมูลล่าสุดของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ทำให้เราต้องหันมาใส่ใจความรู้สึกตัวเอง และคนรอบข้างมากขึ้น
รายงานของ WHO ระบุว่า จากการวิเคราะห์บทบาทของการเชื่อมโยงทางสังคมในการปรับปรุงสุขภาพสำหรับคนทุกวัย ซึ่งดำเนินการมาเป็นเวลา 3 ปี และสรุปวิธีแก้ปัญหาเพื่อสร้างการเชื่อมต่อทางสังคมในวงกว้างพบว่า
“อัตราการโดดเดี่ยวทางสังคมและความเหงาทั่วโลกที่สูงส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ผู้ที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่แน่นแฟ้นเพียงพอ มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหลอดเลือดสมอง วิตกกังวล ภาวะสมองเสื่อม ซึมเศร้า การฆ่าตัวตาย และอื่นๆ” ดร. เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO กล่าว
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้เปิดตัวคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศเกี่ยวกับปัญหาความเหงา ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการชุดใหม่ด้านการเชื่อมโยงทางสังคม ถูกตั้งขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการกับความเหงา ซึ่งเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพที่เร่งด่วนระดับโลก ส่งเสริมการเชื่อมโยงทางสังคมและเร่งขยายการตระหนักรู้และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ดร.วิเวก เมอร์ธี ศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า แม้ความเหงามักถูกมองว่าเป็นปัญหาสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่อัตราของผู้สูงอายุ 1 ใน 4 คน กำลังประสบปัญหาการแยกตัวจากสังคม ผลการวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการแยกตัวจากสังคมและความเหงาส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต คุณภาพชีวิต และการมีอายุยืนยาวของผู้สูงอายุ
ความเสี่ยงด้านสุขภาพจาก “ความเหงา” นั้น แย่พอๆ กับการสูบบุหรี่มากถึง 15 มวนต่อวัน โรคอ้วน และการไม่ออกกำลังกาย รายงานยังระบุด้วยว่า ความเหงาจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเกือบ 30%
ดร. เมอร์ธีกล่าวเสริมว่าปัญหาเหล่านี้ มีความคล้ายคลึงกันในทุกภูมิภาคของโลก ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น “ความเหงาเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่รุนแรงจนประเมินไม่ได้” เขาเตือน
จากข้อมูลของ WHO ในกลุ่มผู้สูงอายุ ความเหงาสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น 50% ในการพัฒนาภาวะสมองเสื่อม และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 30% นอกจากนี้ระหว่าง 5% ถึง 15% ของวัยรุ่นรู้สึกเหงา ตามผลการวิจัย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะประเมินต่ำเกินไป WHO ระบุ
“ความเหงาสามารถก้าวข้ามพรมแดน และกำลังกลายเป็นข้อกังวลด้านสาธารณสุขระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ความเป็นอยู่ และการพัฒนาในทุกด้าน” นายเอ็มเพมบา กล่าว “ความโดดเดี่ยวทางสังคมไม่มีอายุหรือขอบเขต”
เขาเสริมว่าคนหนุ่มสาวที่ประสบกับความเหงาที่โรงเรียนมีแนวโน้มที่จะออกจากมหาวิทยาลัยมากกว่า นอกจากนี้ยังสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่แย่ลง ความรู้สึกขาดการเชื่อมต่อและไม่ได้รับการสนับสนุนในงานอาจทำให้ความพึงพอใจและประสิทธิภาพในการทำงานแย่ลงด้วย
สำหรับคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศเกี่ยวกับปัญหาความเหงา นำโดยศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐอเมริกา ดร.วิเวก เมอร์ธี และทูตเยาวชนของสหภาพแอฟริกา ชิโด เอ็มเพมบา และประกอบด้วยผู้สนับสนุนและรัฐมนตรีของรัฐบาลประเทศต่างๆอีก 11 คน รวมถึงราล์ฟ รีเกนวานู รัฐมนตรีกระทรวงเพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในวานูอาตู และอายูโกะ คาโตะ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบมาตรการเพื่อความเหงาและความโดดเดี่ยวในญี่ปุ่น
ที่มาข้อมูล
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง