“วิโรจน์” จี้ ผกก.สน.พระโขนง ตอบปม “ส่วยสติ๊กเกอร์” ให้ได้ ตลก ถ้าจะอ้างเอาไว้จำรถให้ง่าย เหน็บแค่พยานหลักฐานยังปกป้องไม่ได้ รู้อยู่เต็มอก ขึ้นอยู่ว่าสอบหรือไม่ ชี้ ส่วยปีหนึ่งมูลค่า 2 หมื่นล้าน ต้องจัดการให้สิ้นซาก
ประเด็นที่สังกำลังจับตามอง ปมรถบรรทุกส่วยสติ๊กเกอร์ ทรุดลงไปในบ่อพักท่อร้อยสายไฟของการไฟฟ้านครหลวง ทำให้รถบรรทุกเสียหลัก จอดคาอยู่กลางถนน แต่เรื่องที่ถูกพูดถึงคือสติ๊กเกอร์รูปดาวสีเขียว-ขาว และมีสัญลักษณ์อักษรภาษาอังกฤษ B ติดอยู่กลางกระจกหน้ารถ ว่าโยงกับส่วยรถบรรทุกหรือส่วยติ๊กเกอร์หรือไม่ ถึงบรรทุกน้ำหนักเกินวิ่งมาได้อย่างไร
ล่าสุด นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากข้อมูลของสมาพันธ์การขนส่งทางบก มีข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นส่วยสติ๊กเกอร์ แต่อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.โอภาส หาญณรงค์ ผู้กำกับ สน.พระโขนง จะต้องตอบคำถามในประเด็นนี้ ตนเข้าใจว่าผู้กำกับการตำรวจนครบาลก็ได้ลงมากำกับด้วยตนเองแล้ว เพราะเป็นประเด็นที่ไม่ใช่แค่บรรทุกน้ำหนักเกินแล้ว
นอกจากนี้ วิศวกรที่ดูแลบ่อที่จะนำสายไฟฟ้าลงดินของการไฟฟ้านครหลวง คงไม่ได้ออกแบบแผ่นปูนปิดหน้างาน รองรับรถบรรทุกที่มีการสั่นสะเทือนด้วย ดังนั้นจึงกระทบผู้ใช้ยวดยานบนท้องถนนเป็นจำนวนมาก และหากเราติดตามข่าวจะพบว่าพื้นที่กรุงเทพฯ เริ่มมีข่าวทรุดตัวเป็นจำนวนมาก
สำหรับส่วยนั้น มีการชี้แจงว่าเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทรับเหมา นายวิโรจน์ กล่าวว่า กรณีส่วยนั้น ฟังไม่ขึ้นเรื่อง เมื่อสักครู่ ตนได้ฟังคำสัมภาษณ์และสอบถามของผู้กำกับ สน.พระโขนง ระบุว่า สติ๊กเกอร์ติดเพื่อให้คนขับแยกรถได้ออก ว่าจอดตรงไหน ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าปกติคนขับรถสามารถจำรถตัวเองได้อยู่แล้ว หากจะออกแบบก็ควรออกเป็นสติ๊กเกอร์คาดกันแดดได้ดีกว่า แต่ออกเป็นรูปดาว B กลางกระจก รบกวนทัศนวิสัยการขับขี่ด้วยซ้ำ ตนเชื่อว่าเจตนาเอาไว้ให้ใครสักคนที่เตี๊ยมเอาไว้มองเห็นได้ง่าย จึงตั้งคำถามกับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 5 และสน.พระขโนงว่าคนที่เตี๊ยมกันเป็นข้าราชการตำรวจหรือไม่ ระดับไหน มีการจาายส่วยหรือไม่
“ถ้าติดเพื่อให้จำรถตัวเองได้ง่าย ผมว่ามันตลกมาก ประชาชนก็รับไม่ได้ รู้อยู่แก่ใจ รู้อยู่เต็มอก ขึ้นอยู่กับว่าจะสอบหรือไม่แค่นั้น” นายวิโรจน์ กล่าว
ส่วนการที่ตำรวจออกมาชี้แจงแทน สามารถตั้งข้อสงสัยได้หรือไม่ว่าตำรวจอุ้ม นายวิโรจน์ กล่าวว่า แม้เจ้าของจะอ้างว่า B ย่อมาจากชื่อ เสี่ยบิ๊ก แต่ตนคิดว่าตำรวจก็ต้องตั้งคำถามว่าเสี่ยบิ้ก คือใคร มีการจ่ายผลประโยชน์หรือไม่ แต่ส่วนตัวเห็นว่ามีการตัดตอนคำตอบเร็วเกินไป จึงมองเป็นอย่างอื่นได้ลำบาก
ขณะเดียวกัน ตนก็เข้าใจว่ามีการบ่ายเบี่ยงของคนขับรถที่ไม่ยอมชั่งน้ำหนักของตัวรถและดินที่ขน จึงตั้งคำถามว่าหากเป็นตำรวจระดับผู้กำกับและผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 หากไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริง และรักษาพยานวัตถุสำคัญที่จะพิสูจน์ ว่าบรรทุกน้ำหนักเกินหรือไม่ ตนเชื่อว่าทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ต้องพิจารณาว่าต้องหาบุคคลเหมาะสมมาทำงานแทนหรือไม่
นาดยังไม่ไปจับใคร แค่ปกป้องพยานวัตถุสำคัญ หลายคนก็ตั้งคำถามว่าปล่อยให้เขาขนดิน แล้วไปเทในไซต์งานได้อย่างไร…เข้าใจ แต่มันคือของกลาง เราควรเก็บพิทักษ์รักษา แต่ไม่ใช่ให้เขาไปขนและทิ้งในไซต์งาน” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ยังระบุข้อมูลว่ามีรถขนดินอีก 2 คันพยามขนดอนเข้าไปในซอยสุขุมวิท 64/2 พอมีประชาชนร้องไปเสียงเซ็งแซ่ ถึงเข้าไปดู ซึ่งรถขนดินทั้ง 2 คันที่ขนดินก็มีสติกเกอร์ดาว B สีเขียวทั้ง 2 คัน จึงฟังไม่ขึ้นว่าสติกเกอร์มีไว้สำหรับจัดลำดับรถบรรทุก เพราะหากจัดลำดับต้องมีเลข เช่น B01 B02 B03 แต่ว่ามีสติกเกอร์ตัว B ที่พยามส่งสัญลักษณ์ถึงใคร ตนย้ำว่าตำรวจจะทิ้งประเด็นนี้ไม่ได้ อย่างน้อยต้องสอบตำรวจหน้างานปล่อยคนมายุ่งเกี่ยวหลักฐานได้อย่างไง
พร้อมย้ำว่า เรื่องส่วยเป็นเรื่องใหญ่และน่าเศร้ามาก เพราะมีตำรวจเสียชีวิตแล้ว 2 คน หากตำรวจมีเรื่องส่วน ถือว่าไม่รักศักดิ์ศรีตำรวจ
“ปีหนึ่ง ส่วยมีมูลค่า 2 หมื่นล้าน แสดงว่าตำรวจไม่ได้เรียนรู้บทเรียนเลย ถ้ายังมีเรื่องส่วยอยู่ ก็แสดงว่าไม่ได้รักศักดิ์ศรีของตำรวจจริงๆเลย ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องสอบให้สิ้นข้อสงสัย” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดมีข้อมูลว่าเจ้าของรถ ยังไม่ยอมให้ชั่งน้ำหนักดิน แต่ส่วนตัวเชื่อว่าสามารถคาดคะเนได้ในเบื้องต้นว่าน้ำหนักอาจจะเกิน คำนวณคร่าวๆ ได้ว่ารถที่ขนดินมาอยู่เราราว 30-40 ตัน ยังไม่รวมตัวรถที่มีน้ำหนักประมาณ 9-11 ตัน ตนเชื่อว่ามีโอกาสสูงมากที่น้ำหนักจะเกิน และตัวรถอาจมีการดัดแปลงเพื่อบรรทุกน้ำหนักเกินอีก จากที่กฎหมายกำหนดไว้ 25 ตัน
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ตำรวจ สน.พระโขนงเปิดเผยว่ายังไม่ได้มีการจับกุมเรื่องรถบรรทุกน้ำหนักเกินแต่อย่างใด แต่ประชาชนก็เห็นรถบรรทุกคลุมผ้าใบเข้ามาในพื้นที่ โดยเข้าใจว่ามีการเร่งรัดการก่อสร้างหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่ง ผู้ว่าฯ กทม. จะต้องกำชับว่ากันปล่อยรถบรรทุกที่เกินน้ำหนักเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานครจนมีหลุม ที่มีสายไฟฟ้าลงกิน 700 กว่าแห่ง พร้อมจะทรุดตัวได้ตลอด หากเกิดตกลงไปก็เสียชีวิตแน่นอน และเป็นเรื่องที่เสียใจที่เจ้าของรถแท็กซี่ที่ขับตามมารถชน แผ่นคอนกรีตได้รับความเสียหาย เพลาหน้าขาด แล้วใครจะรับผิดชอบ จึงเรียกร้องให้การไฟฟ้านครหลวงมารับผิดชอบก่อน และไปตามไล่บี้กับบริษัทรถบรรทุก หากพบว่าน้ำหนักเกิน
ส่วนการคาดการณ์ว่าจะมีการจ่ายส่วยในหน่อยงานใดบ้างนั้น นายวิโรจน์ มองว่ามีหลายหน่วยงานเยอะไปหมด เช่น เจ้าหน้าที่ด่านชั่งบางคนบางราย ตำรวจทางหลวงบางคนบางนาย หรือเจ้าหน้าที่ของ กทม. บางคนบางนายด้วย ตำรวจท้องที่ ตำรวจจราจรกลาง ตนไม่ได้เหมารวมทั้งองค์กร แต่จะต้องมีการสอบสวนหรือสังคายนากันยกใหญ่เพราะมีหลายหน่วยที่เกี่ยวข้อง พร้อมเสนอแนะว่าควรตั้งด่านชั่งบนถนนทางหลวงก่อนที่จะเข้ามายังกรุงเทพมหานคร และหวังว่าจะมีการดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา
"เวลากวดขันก็ดำเนินคดีกับคนที่สุจริตแต่ฟังพลาดในการดำเนินตามกฏหมาย แต่รายใหญ่ที่ขนเกิน 20 ตัน 30 ตันปล่อยฉลุย ซึ่งโดยสามารถของตำรวจหากเห็นสภาพรถ สภาพหิน สภาพทรายก็จะรับรู้ อยู่แก่ใจว่ารถต้องสงสัยเป็นคันไหน แต่ไปจับรถที่ผิดเผลอดำเนินคดีก็จะเกิดการลักลั่นและยังเกิดปัญหาการเรียกตบทรัพย์อีก" นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นภัยต่อสาธารณะมองว่าเรื่องนี้ควรเป็นวาระสำคัญ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรถบรรทุกน้ำหนักเกิน แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องปฏิรูปตำรวจด้วย โดยขอส่งสารไปถึงนายกรัฐมนตรี ว่าการจะรักษาโรคอะไรได้ จุดเริ่มต้นจะต้องยอมรับว่าป่วยเป็นโรคนั้นจริงๆ และไปหาหมอให้ถูกโรค ซึ่งวันนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาบรรทุกน้ำหนักเกินแต่ยังเป็นปัญหาในแวดวงตำรวจ และการตั้งข้อสงสัยขาดความไว้ใจจากประชาชน ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยสาธารณะ และเรียกร้องไปยังการไฟฟ้านครหลวงที่ก็ต้องตรวจสอบโครงสร้างท่อ 700 จุด มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง