ชูศักดิ์ หวั่น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สร้างความขัดแย้ง ก้าวไกล หวังทุกพรรคหนุน

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย สส.บัญชีรายชื่อ และ ประธาน กมธ.ป.ป.ช.ของสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีการเมืองฯ ของพรรคก้าวไกลว่า ในส่วนของเพื่อไทยยังไม่ได้มีการหารือกัน ว่าสมควรจะยื่นร่างกฏหมายประกบหรือไม่ เพราะความคิดเห็นของพรรคยังคงมีความหลากหลาย ซึ่งหากพูดถึงนิรโทษกรรมอาจดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยจะตกเป็นจำเลยในอดีต 

แต่ส่วนตัวแสดงความเห็นว่า การนิรโทษกรรมมีสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง อย่าให้ร่างกฏหมายนั้นไปสร้างความขัดแย้งในสังคมมากขึ้น จนกลายเป็นประเด็นใหม่ของความขัดแย้งในสังคม เพราะปัญหายังไม่จบว่าอะไรคือคดีการเมือง หรืออะไรคือการแสดงออกทางการเมือง ต้องหารือให้มีความชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะโต้เถียงกันไม่จบ แม้ว่าร่างของพรรคก้าวไกลจะมีคณะกรรมการขึ้นมาวินิจฉัยคดีได้เข้าหลักเกณฑ์

"เช่นจะรวมคดีอะไรบ้าง 112 เอาไหม 113 เอาไหม 114 เอาไหม คดีชุมนุมทางการเมืองรวมถึงอะไรบ้าง ควรจะพูดเรื่องนี้กันให้จบ ให้ตกผลึกไม่เช่นนั้นนำเข้าไปพิจารณาจะเป็นปัญหาความขัดแย้ง แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยขณะนี้จะต้องนำไปหารือกันในพรรคว่าควรจะดำเนินการอย่างไร" ชูศักดิ์กล่าว

นายชูศักดิ์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลเห็นว่าเรื่องนี้จะเป็นก้าวแรกของการหยุดนิติสงครามว่า โดยหลักการความขัดแย้งหากยุติลงได้ก็เป็นเรื่องดี แต่ปัญหาที่จะต้องตอบคือยุติลงจริงหรือไม่หรือจะกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งเพิ่มเติมมากขึ้น เรื่องนี้ต้องคิดให้ดีให้รอบคอบ

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวระหว่างการร่วมงานครบรอบ 47 ปี 6 ตุลาฯ 2519 ประจำปี 2566 วันที่ 6 ตุลาคม 2566 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ว่า ถือเป็นบทเรียนที่ไม่ควรลืม ในฐานะนักการเมือง จะต้องถอดบทเรียนสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่ให้เกิดการในอดีตเกิดซ้ำขึ้นมาอีก 

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล ได้ถือฤกษ์ในห้วง 6 ตุลาฯ เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ในอดีตอีก จึงยื่นเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ที่นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะหัวหน้าพรรคฯ ได้ยื่นเสนอประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ (5 ต.ค.) เพื่อถอนฟืนออกจากกองไฟ ไม่ให้เกิดความแตกแยก และให้เกิดการหาข้อเท็จจริง เกิดความรับผิดชอบ เพื่อให้สังคมเดินหน้า

ขณะที่ นายชัยธวัช หวังว่า ในวาระ 47 ปี 6 ตุลาฯ จะไม่ใช่เพียงการรำลึกเหตุการณ์ในอดีต แต่เหตุการณ์ในอดีตสะท้อนปัญหาการเมือง และปัญหาสังคมไทย ที่เป็นโจทย์ตกค้างมายังปัจจุบัน ทั้งสิทธิการแสดงความเห็น การแสดงออกทางการเมือ ระบบกฎหมาย และอำนาจรัฐ ต้องเคารพสิทธิร่างกายประชาชน ไม่ให้อำนาจใด ๆ มาพรากชีวิตประชาชนไปได้ และยังไม่นับรวมบุคคลที่ถูกดำเนินคดีอย่างรุนแรง เพราะความคิดเห็นทางการเมือง

ดังนั้น พรรคก้าวไกล จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยเริ่มนิรโทษกรรม นับตั้งแต่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเริ่มการชุมนุม จนถึงปัจจุบัน เพราะประชาชนต่างฝ่าย ต่างมีเจตนาดี เพื่อสร้างสังคมที่ดีในมุมของตนเอง แต่เมื่อมีความขัดแย้ง และไม่มีทางออก จึงควรเริ่มตั้งต้นทางการเมืองด้วยการคืนความยุติธรรม และทำให้ทุกฝ่ายลดกำแพง แสวงหาฉันทามติใหม่ของสังคม แม้จะเห็นต่าง ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ 

ส่วนข้อกังวลการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมจะต้องมีความรอบคอบ เพื่อไม่ให้เป็นความขัดแย้งครั้งใหม่นั้น นายชัยธวัช เชื่อว่า กระบวนการนิติบัญญัติ จะเป็นพื้นที่ในการนำความเห็นที่ไม่ตรงกันมาพูดคุย และออกแบบกฎหมายรวมกันอย่างรอบคอบ รอบด้าน และชอบธรรมด้วยประชาธิปไตย พร้อมเชิญชวนพรรคการเมืองต่าง ๆ ร่วมกันสนับสนุน หรือนำเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในแบบฉบับของตน เพื่อนำมาพิจารณาร่วมกัน

ทั้งนี้หลังมีกระแสข่าวการยื่นกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสภาฯ ด้านชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก โดยมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย