นายก เศรษฐา วอนภาคเอกชนอยากให้ติดสปีดการลงทุนจากต่างชาติเข้าประเทศ พร้อมปรับข้อกฎหมายที่ไม่เอื้อธุรกิจ เดินหน้าเปิดประตูสู่การลงทุนใหม่ๆ ที่รัฐบาลจะหนุนให้เกิดการเติบโตมากขึ้น
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขึ้นปาฐกถาภายในงาน Thailand Economic Outlook 2024 Change the Future Today จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ว่า ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผมไม่อยากให้มองว่าเพราะผมเป็นนายกฯ แต่อยากให้มองว่าผมเป็นนักธุรกิจที่ได้รับมอบหมายจากพวกท่านไปสู่จุดที่เข้าถึงได้ ในสถานการณ์เดียวกัน
หากเปรียบไทยเป็นรถยนต์ เรากำลังวิ่งช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ไม่อยากให้ไปโทษรัฐบาลชุดก่อนเพราะเขาก็แก้ปัญหาในจุดของเขามาแล้ว เราก็อยู่ในยุคที่ต้องทำให้ดีที่สุด
นอกจากนี้ ไทยยังมีปัญหาในเรื่องของน้ำท่วมกับน้ำแล้ง ทางกระทรวงเกษตรบอกว่า ถ้าเราลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเทค 90% เงินไหลออกนอกประเทศ
แต่ถ้าเราลงทุนในเกษตรกร ไม่ต้องใช้ความไฮเทค ใช้ความใส่ใจ ใช้เครื่องมือมาช่วยเน้นเรื่องของการแก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะหันมาให้ความสนใจและมีทิศทางที่ดีขึ้น
เศรษฐา ยังกล่าวอีกว่า หน้าที่ของผมก็คือเซลล์แมน ไปขายความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ให้เขาสนใจอยากเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้เดินทางไปต่างประเทศ และได้ไปทำความรู้จักกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Tesla, Google, Microsoft เพื่อที่จะจีบให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
เพราะบริษัทเหล่านี้ไม่ได้ลงทุนนอกประเทศครั้งแรก พวกเขาขยายการลงทุนไปในหลายประเทศเพื่อนบ้านของเรา สิ่งที่เราต้องเร่งคือเรื่องของข้อกฎหมายที่เวิ่นเว้อ ซับซ้อน และไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจ
ผมต้องกลับไปดูหลักการและทลายกำแพงนี้ให้ได้ พร้อมทั้งปรับปรุงหลักการให้เอื้อประโยชน์ เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้ได้มากที่สุด การไปคุยครั้งที่ผ่านมาต้องได้ธุรกิจไม่ใช่แค่การไปเจ๊าะแจ๊ะแล้วไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา
อย่างปีที่ผ่านมา เราเห็นอินโดนีเซีย เวียดนาม เกิดการลงทุนใหม่ๆ เยอะมาก เพราะเขาไปเป็นเซลล์แมนคุยให้เกิดธุรกิจกับต่างชาติเยอะมาก เราจะต้องไปขยายความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ยกระดับความเชื่อมั่นเพื่อทำให้ GDP ไทยโตขึ้น
วันนี้ผมอยากให้ภาคเอกชนมีความทะเยอทะยานและมั่นใจกับ Next Step ของประเทศไทยครับ
นอกจากนี้ เศรษฐา มองว่า อีกเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเยอะมาก ผมก็คิดว่าตัวเองเข้าใจดีในระดับหนึ่งแล้ว แต่เมื่อได้ฟังแนวคิดของต่างประเทศในเรื่อง Green Energy ทำให้ได้ทราบว่าสิ่งที่เรารู้และลงมือทำยังน้อยมาก ไม่ใช่แค่การเก็บคาร์บอนเครดิต แต่ต้องมองเรื่องการใช้พลังงานสะอาด จัดการคาร์บอนให้ดีขึ้นและมองไปในแนวทางเดียวกัน
อย่างเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์อีวี อย่างที่ทราบกันดีว่าภาคอุตสาหกรรมของไทยเติบโตได้เพราะเรามีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานกับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นผลิตรถยนต์สันดาป หากเราหันไปผลักดันสันดาปมากเกินไป มันก็จะย้อนแย้งกับเทรนด์อีวีที่กำลังเติบโตระดับโลก
ดังนั้น เราต้องผลักดันทั้งซัพพลายเชนและภาคอุตสาหกรรมไปพร้อมกัน ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องหยุดเพราะญี่ปุ่น แต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทยเราลืมต้นนำ้ไม่ได้ ต้องสำนึกบุญคุณ เราต้องนึกถึงคนที่เคยดีกับเรา จึงต้องรักษาสมดุลของทั้งสองส่วนนี้ให้ดี
ทั้งนี้ ประเทศไทยเปิดแล้วครับ จากวันนี้เป็นต้นไป นายก กล่าวทิ้งท้าย
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม