"หมอพรทิพย์" รับเห็นใจคู่กรณีไล่ออกจากร้านอาหาร ยืนยันไม่ฟ้อง เชื่อไม่กระทบ สว.คนอื่น แต่ระวังมากขึ้น ยอมรับผิดพลาดนอนถ่ายรูปบนลาวามอส ไม่รู้มีระเบียบกฎหมาย
จากกรณีที่ในโลกออนไลน์มีการแชร์คลิปเหตุการณ์ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เดินทางไปเที่ยวประเทศไอซ์แลนด์ และได้ไปทานอาหารไทยที่ร้านแห่งหนึ่ง และได้ถูกชายชาวไทยซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าของร้านอาหาร ขับไล่ให้ออกจากร้าน จนกลายเป็นไวรัลจนติดเทรนด์
ล่าสุดหมอพรทิพย์ ได้ออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า วันนั้นเราได้ไปหาร้านอาหารและระหว่างกำลังรอเลือกอาหาร มีน้องคนหนึ่งวิ่งเข้ามาถือโทรศัพท์ไลฟ์สดมา และเป็นความโกรธ ส่วนตัวเจอเรื่องนี้มาเยอะ สำหรับความเกลียดที่เกิดจากไม่รู้จักกัน รู้สึกแค่ว่าเห็นใจเขา ทั้งที่เรื่องนี้ผ่านไปพักหนึ่งแล้ว และเห็นว่าเหมือนไกลตัวจึงไม่พูดอะไร และคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
วันต่อมากลายเป็นประเด็นใหญ่ เพราะเขาเอาไปลงโซเชียล หมอก็ลำบากเพราะมีคนมาขุดข้อมูลสู้กัน ส่วนตัวก็ไม่คิดจะทำอะไรกับเขา เพราะตอนแรกเป็นเรื่องลับรู้กันแค่สองฝ่าย แต่เมื่อสื่อนำไปเปิดเผยก็ถือเป็นเรื่องของสังคม หมอยังยืนยันเหมือนเดิมว่าใดๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตก็เพราะเราเคยทำ ดังนั้นเราจะไม่ตอบโต้ และเราก็จะมุ่งหน้า เป้าหมายคือการทำความดี และส่วนตัวไม่เชื่อจะเป็นโดมิโน่กับ สว. คนอื่น
โดยในวันเกิดเหตุไม่ได้ชี้แจงกับคู่กรณี เพราะในชีวิตหมอไม่เคยสามารถพูดแล้วทำให้คนเปลี่ยนใจได้ แต่สิ่งที่เราเรียนรู้ก็คือ ไม่รับเข้ามาให้เราทุกข์ แล้วก็เดินจากไป คือไม่ได้ชี้แจงอะไร เพราะตอนแรกเขาพูดถึง สว. สส. แต่ตอนหลังเขาเข้ามาเลยว่า "อีนี่อย่างนั้นอย่างนี้" แต่เชื่อว่าถ้ายังอยู่ในร้านต่อน่าจะมีเรื่องทำร้ายร่างกาย เพราะเขาชี้หน้าและไล่เราเหมือนหมูหมา พูดทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ไล่ต่อหน้าคนที่ทานอาหารอยู่ในร้าน
ซึ่งตอนนั้นไม่ตกใจ ตอนนี้อายุ 69 ปี แล้ว ผ่านแบบนี้มาเยอะ ไม่เปิดประตูรับมัน มันก็ไม่เข้ามาทำร้ายเรา คำสอนของพระทำให้เราจำไว้เสมอว่า พัสดุถ้าส่งแล้วไม่มีคนรับมันจะกลับไปสู่คนส่ง สำหรับตนเองถือว่าจบ ไม่คิดที่จะฟ้องร้อง และไม่ทำอะไร เดินหน้าต่อและทำความเข้าใจมากขึ้น ส่วน สว. จะต้องระมัดระวังมากขึ้น คือ เขาไม่แยกเรื่องพวกนี้ เขาก็อาจจะคิดว่าเป็นตัวอย่าง จึงต้องระมัดระวัง
เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรกับผู้เห็นต่างและมีลักษณะแบบนี้ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า เข้าใจทุกฝ่าย คือ การเมือง ในหลักไม่ใช่การเมืองของเด็กรุ่นใหม่ มันมีเรื่องของผลประโยชน์และอำนาจ มีเรื่องปิดปากผูกขาด ในช่วงเวลา 8-9 ปีที่ผ่านมา จึงก่อให้เกิดแรงกดดันที่ไปห้ามเขาไว้
ซึ่งเรื่องทั้งหมดจริงๆหมอเคยคุยกับพรรคก้าวไกลแล้วว่า หมอพร้อมโหวตให้ ขอเพียงอย่างเดียวให้ถอดมาตรา 112 ซึ่งเรื่องมาตรา 112 ประเด็นที่เขาพูด เอาไปใช้มันคนละส่วนกัน จึงเป็นเรื่องที่มีความแรงใส่กันสองฝ่าย ส่วนต่อไปจะทำอย่างไรก็ไม่อาจจะบอกได้ เพราะเป็นเรื่องที่มีปัจจัยหลายอย่าง ถ้าจะแก้ต้องแก้ที่ระบบการศึกษาที่ให้เราคิดเอง อย่างเชื่อสิ่งที่ตาเราเห็น หูเราฟัง ถ้าเราไม่ได้วิเคราะห์เอง เพราะบางทีเราฟังเราเห็นแล้วเชื่อ บางทีมันก็ไม่ใช่ของจริง
แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ต้องช่วยกัน ในแง่สื่อ เรื่องที่เกิดขึ้นถ้าจะช่วยกันป้องกัน เรื่องที่เป็นหลักคือก้าวร้าว และสุดท้ายก็ลามปามที่อาจจะทำให้เขาโดนอะไร สื่อจะต้องช่วยให้อยู่ในเส้น อย่าวิ่งออกไปแล้วเที่ยวไปขุดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่ประเด็นหลัก ทั้งนี้ไม่ฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่ เชื่อว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ แต่ทั้งหมดเป็นภาพสะท้อนว่า เสพการเมืองมากไป ก็กระทบกับทุกอย่าง
นอกจากนี้ยังชี้แจงข้อสงสัยถึงการเดินทางไปไอซ์แลนด์ช่วงมีประชุมสภา ว่า ทริปดังกล่าวเนื่องจาก ไปเรียนหลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้า จึงมีเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็น สส.เดินทางไป โดยจะมีการจัดเดินทางไปต่างประเทศปีละครั้ง และช่วงปิดสมัยประชุม ครั้งนี้จองมาเป็นปี แต่สภาชุดนี้มามีการเลือกตั้ง
ส่วนกรณีดราม่าภาพถ่ายที่ลงไปนอนทับลาวามอส แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ ยอมรับ เป็นความผิดพลาดที่ไม่รู้ว่ามีระเบียบหรือกฎหมาย ที่ผ่านมาเห็นสารคดีบนเครื่องบินจะมีคนนอนอยู่บนลาวามอส จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ยืนยันตรงไหนมีป้ายห้าม ก็ไม่เข้า แต่ตรงจุดนี้มีที่จอดรถ และมีคนจอดจึงเข้าไป ดังนั้นถ้าเป็นเรื่องลาวามอสต้องกล่าวขออภัย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง