svasdssvasds

ผนึก 3 พลังเพื่อสันติภาพหรือจุดชนวนสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี

ผนึก 3 พลังเพื่อสันติภาพหรือจุดชนวนสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี

ภาพของ 3 ผู้นำจากสหรัฐ เกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่แคมป์เดวิด ถือเป็นหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์เพราะนี่เป็นการประชุมสุดยอดของ 3 ชาติครั้งแรก แน่นอนว่าประเด็นหลักในการหารือคงหนีไม่พ้นสิ่งที่ 3 ชาติกังวลคือภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือและอิทธิพลของจีนที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาค

หลายคนอาจตั้งคำถามว่าแล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีการประชุมลักษณะนี้มาก่อน คำตอบอยู่ที่นโยบายของสหรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ก่อนหน้านี้สหรัฐระบุว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ให้ความสำคัญกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกนับตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่งโดยเฉพาะการกระชับความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งต่างจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ดูไม่สนใจพันธมิตรและดำเนินนโยบายฉายเดี่ยวเรื่องเกาหลีเหนือ แต่ถึงแม้สหรัฐมีนโยบายที่ชัดเจนแต่จะไม่สามารถมีวันนี้ได้หากไม่มีการเปลี่ยนผู้นำเกาหลีใต้

ผนึก 3 พลังเพื่อสันติภาพหรือจุดชนวนสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี

หลังจากที่ประธานาธิบดียุน ซ็อน-ย็อลชนะการเลือกตั้งขึ้นมาบริหารประเทศต่อจากประธานาธิบดีมุน แจอิน นโยบายของเกาหลีใต้ที่มีต่อญี่ปุ่นก็เรียกได้ว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ในการหาเสียง ประธานาธิบดียุนพูดชัดว่าจะปรับปรุงความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นเพื่อร่วมมือกันแก้ไขสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี และวิจารณ์นโยบายประธานาธิบดีมุนว่ายอมอ่อนข้อให้เกาหลีเหนือมากไป ที่ผ่านมาไม่ได้ผลและทำให้เกาหลีเหนือมีช่องว่างในการพัฒนาอาวุธไม่ว่าจะเป็นขีปนาวุธและนิวเคลียร์ซึ่งกลายเป็นภัยคุกคามมากขึ้น

ในสมัยประธานาธิบดีมุนมีกระแสต่อต้านญี่ปุ่น ไม่ซื้อของญี่ปุ่นและตอกย้ำประวัติศาสตร์บาดแผลในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งจุดนี้สหรัฐเองต้องกุมขมับไม่สามารถทำอะไรได้ แต่มาในสมัยประธานาธิบดียุน ได้กลายเป็นผู้นำเกาหลีใต้คนแรกที่ไปเยือนญี่ปุ่นในรอบ 17 ปีขณะที่นายกรัฐมนตรีคิชิดะ ฟูมิโอะของญี่ปุ่นก็ไปเยือนเกาหลีใต้เช่นกันและตอนนี้เรียกได้ว่าผู้นำทั้งสองแทบจะได้พบกันเดือนละครั้ง ประธานาธิบดีไบเดนถึงกับเอ่ยปากว่าดีใจที่ทั้งสองประเทศปรับความเข้าใจก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ มาได้

ในการประชุมสุดยอด 3 ฝ่ายครั้งนี้มีการออกเอกสารมา 2 ฉบับที่มีเนื้อหาที่จะสร้างกลไกประสานงาน แลกเปลี่ยนข่าวกรองกันมากขึ้นและเป็นรูปธรรมมากขึ้นรวมถึงการฝึกซ้อมร่วมทางทหารระหว่างกัน ถึงแม้จะบอกว่าที่ทำแบบนี้เพื่อเป็นการป้องปรามภัยคุกคาม สร้างสันติภาพและเสถียรภาพแต่ก็มีคนกังวลว่าอาจเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการเผชิญหน้าและนำไปสู่สงครามได้

ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคมไปจนถึงสิ้นเดือนสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้มีการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกัน ซึ่งตั้งแต่ประธานาธิบดียุนบริหารประเทศได้เปิดไฟเขียวในเรื่องนี้เต็มที่ต่างกับประธานิบดีคนก่อนที่เกรงว่าจะเป็นการยั่วยุเกาหลีเหนือและได้ระงับการฝึกซ้อมในลักษณะนี้ แทบทุกครั้งที่มีการฝึกซ้อมแบบนี้เกาหลีเหนือก็จะตอบโต้ด้วยการทดสอบยิงขีปนาวุธ และครั้งนี้ก็มีการคาดการณ์เช่นกัน

ผนึก 3 พลังเพื่อสันติภาพหรือจุดชนวนสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี

ท่าทีของสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้และญี่ปุ่น 3 ประเทศนี้ไม่เพียงแต่เกาหลีเหนือเท่านั้นที่จับจ้องแต่จีนก็ติดตามอย่างใกล้ชิดโดยจีนมองว่าสหรัฐกำลังพยายามที่จะสร้างพันธมิตรในแบบนาโตขึ้นในเอเชียตะวันออกหรืออาจขยายในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เมื่อมีพันธมิตรสหรัฐ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ได้ ก็มีพันธมิตรเกาหลีเหนือ จีนและรัสเซียได้เช่นกัน

ผนึก 3 พลังเพื่อสันติภาพหรือจุดชนวนสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี

โดยล่าสุดในการสวนสนามเนื่องในวันครบรอบ 70 ปีสงบศึกสงครามเกาหลีรัสเซียได้ส่งเซอร์เกย์ ชอยกูรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียขณะที่จีนได้ส่งหลี่ หงจง รองประธานคณะกรรมการประจำของกรมการเมืองสภาประชาชนแห่งชาติจีนเข้าร่วม โดยในขบวนสวนสนามครั้งนี้ได้มีการนำขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นล่าสุด ฮวาซอง-18 ซึ่งใช้เชื้อเพลิงแข็งออกมาแสดง พร้อมโดรนรุ่นใหม่ ล่าสุดมีการตั้งข้อสังเกตว่าการใช้เทคโนโลยีเชื้อเพลิงแข็งซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอาจได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซีย

นอกจากนั้นในช่วงเดือนที่ผ่านมาเกาหลีเหนือมีความเคลื่อนไหวอย่างมากในเรื่องการสะสมอาวุธ โดยคิม จองอึนผู้นำเกาหลีเหนือได้เป็นคนพารัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียเดินชมโรงงานผลิตอาวุธด้วยตัวเอง ซึ่งถูกมองว่าการผลิตอาวุธนี้อาจมีเป้าประสงค์ส่งออกไปยังรัสเซีย

ผนึก 3 พลังเพื่อสันติภาพหรือจุดชนวนสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี

นอกจากนั้นยังมีคำสั่งให้เร่งเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต และยังได้เข้าร่วมประชุมคณะใหญ่ของคณะกรรมาธิการกลางทางทหารของพรรคคนงานเกาหลีซึ่งปกครองเกาหลีเหนือ และได้ลงนามในคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรเรื่องมาตรการทางทหารที่สำคัญ และสั่งให้มีการฝึกซ้อมที่เป็นรูปธรรมในการใช้อาวุธและอุปกรณ์ล่าสุด

นอกจากนั้นภาพถ่ายของสื่อของทางการเกาหลีเหนือแสดงให้เห็น คิม จองอึนกำลังพูดอยู่หน้าสิ่งที่ดูเหมือนเป็นแผนที่ของคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งสำนักข่าวเกาหลีใต้รายงานว่า คิมได้ชี้ไปยังพื้นที่ที่ดูเหมือนจะเป็นกรุงโซล และคเยรยองแดซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการกองทัพเกาหลีใต้ทางใต้ของกรุงโซล และที่สำคัญผู้นำเกาหลีเหนือได้สั่งให้เพิ่มการเตรียมการทางทหารเพื่อการทำสงครามในแบบ "จู่โจม"

นับตั้งต้นปีเกาหลีเหนือได้ทำในสิ่งที่เรียกว่าการทดสอบยิงขีปนาวุธบ่อยครั้งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนซึ่งรวมถึงขีปนาวุธข้ามทวีปที่ว่ากันว่ามีพิสัยทำการไกลถึงแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐ นอกจากขีปนาวุธแล้วโดรนที่นำออกมาแสดงรวมถึงบินโชว์ในการสวนสนามล่าสุดยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังสหรัฐและพันธมิตรว่านอกจากขีปนาวุธเกาหลีเหนือก็มีอาวุธที่ทันสมัยที่สามารถต่อกรกับสหรัฐและเกาหลีใต้ได้ในระดับใกล้เคียงกัน

ผนึก 3 พลังเพื่อสันติภาพหรือจุดชนวนสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี

ที่ผ่านมาเกาหลีเหนือเคยใช้วิธีที่แสดงแสนยานุภาพและคำพูดในเชิงคุกคามเพื่อกดดันให้ฝ่ายตรงข้ามเปิดการเจรจา แต่ครั้งนี้นักวิเคราะห์ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเกาหลีเหนือจะทำตามรอยเดิมหรือไม่ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้าหากสหรัฐจะเปิดเจรจาจริงต้องมีเครื่องรับประกันว่าจะต้องได้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมซึ่งก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีไบเดนเคยบอกแล้วว่าจะไม่เจรจาใด ๆ หากเกาหลีเหนือไม่ล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์ ในขณะที่การเจรจาใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้หลังการประชุมสุดยอด 3 ฝ่ายคงไม่สามารถทำได้เหมือนสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ที่ฉายเดี่ยวคงต้องดึงเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเข้าร่วมการเจรจา

ซึ่งถือเป็นความท้าทายเพราะฝ่ายเกาหลีเหนือเคยประกาศแล้วว่าไม่ชอบผู้นำเกาหลีใต้เป็นการส่วนตัวไม่ใช่แค่เรื่องนโยบาย พูดง่าย ๆ คือไม่ชอบขี้หน้า และประกาศจะไม่ร่วมโต๊ะเจรจากับประธานาธิบดียุน ซ็อน ย็อลเป็นอันขาด

การฝึกซ้อมร่วมทางทหารระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐในปลายเดือนสิงหาคมจึงเป็นบททดสอบที่สำคัญว่าอุณหภูมิความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีจะพุ่งขึ้นสูงเพียงใด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related