ปมร้อน "เสาตอม่อบาง" นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างไทย เคลียร์ดราม่าโซเชียล แนะไปดูทีโออาร์โครงการ ดูด้วยตาเปล่าไม่พอ เชื่อได้มาตรฐานทางวิศวกรรมระดับหนึ่ง แนะหน่วยงานประเมินสร้างความเชื่อมั่น
จากกรณีที่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่น โพสต์ตั้งข้อสังเกต เสาตอม่อ สะพานพระราม 3 มีขนาดบางและเล็กกังวลว่าจะรับน้ำหนักไหวหรือไม่ หรือถ้าเกิดภัยพิบัติจะรับแรงสั่นสะเทือนได้หรือไม่
นายอมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สะพานพระราม 3 เป็นสะพานขนาดใหญ่ มีช่วงยาว และมีความสูงมาก เมื่อมองด้วยสายตา เสาตอม่อดูแล้วก็ค่อนข้างบาง
สำหรับการออกแบบสะพานและโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เช่นนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการจ้างวิศวกรออกแบบ และ ที่ปรึกษาควบคุมการก่อสร้าง จึงเชื่อได้ว่าจะมีมาตรฐานทางวิศวกรรมอยู่แล้วระดับหนึ่ง
การออกแบบสะพานและเสาตอม่อ จะต้องคำนึงถึงน้ำหนักบรรทุกประเภทต่างๆ ที่สะพานต้องรองรับ เช่นน้ำหนักของตัวสะพานเอง น้ำหนักรถบรรทุกที่มาวิ่ง แรงลม แรงแผ่นดินไหว แรงจากสภาวะแวดล้อมต่างๆ ตลอดจนการทรุดตัวของเสาเข็ม หากเป็นเสาตอม่อในแม่น้ำ ก็ต้องออกแบบให้ต้านแรงปะทะจากเรือชน และแรงกระแสน้ำด้วย
นายกสมาคมวิศวกรฯ กล่าวต่อว่า จากรูปที่เห็นระบบโครงสร้างของสะพาน ตัวเสาตอม่อยึดติดแน่นกับพื้นสะพานด้านบน ส่วนปลายด้านล่างยึดแน่นกับฐานราก และมีเสาหลายต้นในแนวตามยาวของสะพาน จึงมีพฤติกรรมการรับน้ำหนักเป็นโครงข้อแข็งต่อเนื่อง (Rigid frame) เป็นระบบโครงสร้างที่แข็งแรง แตกต่างจากสะพานอื่นๆ ที่นำคานสะพานมาวางบนเสาตอม่อเฉยๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• ตอม่อสะพานพระราม 3 เล็กจริง บางจริง ความแข็งแรงไม่น้อยไปกว่าสะพานขนาดใหญ่
• ล้อมคอก! คานปูนใหญ่บน "ถนนพระราม 2" หล่นทับคนงานดับ 1 สั่งหยุดสร้าง 7 วัน
• ระทึก! รถบรรทุกชนคานก่อสร้างทางยกระดับ ถ.พระราม 2 รถฝั่งขาเข้ากทม. ชะลอตัว
ทั้งนี้สะพานดังกล่าวก่อสร้างมานานเกือบ 30 ปีแล้ว ต้องไปดูว่าข้อกำหนดในการออกแบบ (TOR) ของสะพานตัวนี้ ว่ามีการระบุน้ำหนักที่ต้องพิจารณาไว้อย่างไรบ้าง ครบถ้วนและใช้ค่าที่เป็นปัจจุบันหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องแรงแผ่นดินไหว ซึ่งในอดีตกฎหมายและมาตรฐานต่างๆ ยังไม่เป็นค่าปัจจุบัน
เพราะยังไม่ได้มีการศึกษาเรื่องแรงแผ่นดินไหวอย่างจริงจังนัก คาดว่าหน่วยงานต่างๆ คงจะกำหนดแรงแผ่นดินไหว โดยการอ้างอิงจากมาตรฐานต่างประเทศ เช่นมาตรฐาน AASHTO มาใช้ในการออกแบบสะพาน
นายอมร กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นนี้ มีเรื่องที่ควรพิจารณาคือ ค่าแรงแผ่นดินไหวและแนวทางการออกแบบที่อ้างอิงตามมาตรฐานต่างประเทศ อาจจะแตกต่างจากมาตรฐานแผ่นดินไหวของประเทศไทยที่กำหนดในปัจจุบัน ซึ่งมีมาตรฐานออกมาในปี 2550 และที่ปรับปรุงใหม่ปี 2561 รวมทั้งรายละเอียดสภาพชั้นดินอ่อนของ กทม. มีผลต่อการขยายคลื่นแผ่นดินไหวด้วย
ด้วยเหตุที่ว่า สะพานช่วงยาวมีการขยับตัวมาก ก็อาจทำให้เสาเคลื่อนที่ และเสาสูงที่มีความชะรูดมาก ก็อาจเกิดปัญหาในการรับน้ำหนักขึ้นได้ ภายใต้แผ่นดินไหวที่รุนแรงในอนาคต ศ.ดร.อมร พิมานมาศ กล่าวว่า แม้โดยส่วนตัวจะเชื่อว่าสะพานดังกล่าวได้มาตรฐานทางวิศวกรรมและมีความแข็งแรงระดับหนึ่ง แต่ก็คงไม่สามารถยืนยันได้โดยเพียงการสังเกตด้วยตาเปล่าเท่านั้น
ไม่ต้องการให้ประชาชนตื่นตระหนกกับเรื่องดังกล่าว แต่ก็อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบ ให้ประชาชนหายสงสัย พร้อมทั้งมีผลการวิเคราะห์ประเมินกำลังรับน้ำหนักของสะพานภายใต้แรงกระทำที่เป็นปัจจุบัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน
นอกจากนี้ในกรณีดังกล่าว ในทางวิศวกรรมสามารถพิสูจน์กำลังรับน้ำหนักของโครงสร้างได้ โดยการวิเคราะห์และประเมินซ้ำใหม่ ภายใต้ชุดข้อมูลแรงของแผ่นดินไหวที่เป็นค่าปัจจุบัน และไม่แต่เฉพาะสะพานเท่านั้น โครงสร้างสำคัญอื่นๆ เช่น เขื่อน หากมีข้อมูลแรงแผ่นดินไหวหรือแรงอื่นๆ ที่ปรับเปลี่ยนไปตามการศึกษาใหม่ ก็ควรมีการวิเคราะห์และประเมินซ้ำเช่นกัน