ศาลฎีกายืนประหารชีวิต อดีต ผอ.กอล์ฟ บุกยิง ฆ่าชิงทอง 3 ศพ กลางห้างดังลพบุรี ศาลชี้ คำร้องฎีกาฟังไม่ขึ้น พฤติการณ์อุกอาจ โหดเหี้ยม ไร้มนุษย์ธรรม
วันที่ 26 เม.ย. 2566 เวลา09.00 ที่ห้องพิจารณา 908 ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่พนักงานอัยการคดีอาญา 6 , บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ เเละ ผู้เสียหายอีก 10 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือ ผอ.กอล์ฟ อายุ 41 ปี อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรี เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นฯ, พยายามฆ่าผู้อื่นฯ, ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนฯ และ ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ที่ก่อเหตุใช้อาวุธปืนฆ่าชิงทรัพย์
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2563 ระบุ พฤติการณ์ความผิดว่า เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2563 จำเลย ซึ่งมีอาวุธปืน ออโตเมติก ขนาด 9 มม. ติดท่อเก็บเสียง 1 อัน ซองกระสุนปืนพร้อมเครื่องกระสุน ได้นำอาวุธ พร้อมเครื่องกระสุนเข้าไปภายในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาลพบุรี แล้วยิง นายธีระฉัตร นิ่มมา พนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของห้าง รวมทั้งประทุษร้ายบุคคลทั่วไปจนเป็นเหตุให้ เด็กชายภาณุวิชญ์ วงศ์อยู่ และ น.ส.ธิดารัตน์ ทองทิพย์ พนักงานร้านทองจนถึงแก่ความตาย และ จำเลยยังได้ยิงบุคคลอื่นอีก 4 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนชิงสร้อยคอทองคำ น้ำหนักเส้นละ 1 บาท จำนวน 22 เส้น น้ำหนักเส้นละ 2 สลึง อีก 11 เส้น รวม 33 เส้น เป็นเงินทั้งสิ้น 664,470 บาท ของบริษัท ออโรร่าดีไซน์ จำกัด ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ก่อนขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ต่อมาตำรวจสืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมตัวจำเลยได้ พร้อมของกลางหลายรายการ และให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ท้ายคำฟ้อง อัยการโจทก์ ขอคัดค้านการประกันตัวจำเลย เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงเกรงว่าจะหลบหนี และขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิด ทั้งให้ จำเลยคืนสร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 2 สลึง จำนวน 1 เส้น ราคา 12,300 บาท และจี้ทองคำรูปหัวจรวด น้ำหนัก 1 กรัม ราคา 1,565 บาท หรือใช้ราคาทรัพย์รวมเป็นเงิน 13,955 บาท แก่ผู้เสียหาย บริษัท ออโอร่าดีไซน์ จำกัด ด้วย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยยื่นฎีกา ขอให้ศาลลดโทษ โดยอ้างเหตุผลประกอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการกระทำอย่างอุกอาจ ในห้างสรรพสินค้าอันเป็นที่สาธารณะกระทำต่อผู้บริสุทธิ์มีผู้เสียชีวิจ 3 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน รวม4 คนซึ่งไม่เกี่ยวข้องด้วย อันเป็นพฤติการณ์อุกอาจโหดเหี้ยมอันตรายร้ายแรงผิดมนุษย์ จำเลยเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนควรมีจิตสำนึกที่ดี ให้สมกับมีอาชีพเป็นครู ควรประพฤติตัวให้เป็นเยี่ยงอย่างกลับกระทำอย่างอุกฉกรรจ์ ที่จำเลยขอความปรานีจากศาลเพื่อลดโทษให้ จึงไม่มีเหตุสมควร ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน
คดีนี้เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2564 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (6) ประกอบมาตรา 60, 289 (6) ประกอบมาตรา 80, 289 (7), 339 วรรคสอง วรรคสี่ และวรรคท้ายประกอบมาตรา 340 ตรี, 371, 376, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490, พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือน , ฐานมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครอง จำคุก 6 เดือน , ฐานพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุสมควร จำคุก 3 ปี , ฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการหรือเพิ่มความสะดวกในการจะกระทำผิดให้ประหารชีวิต , ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต , ฐานชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมีและใช้อาวุธปืนและโดยใช้ยานพาหนะ เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย สถานเดียว ปรับ 1,000 บาท ริบของกลาง อาวุธปืนและเครื่องกระสุน หมวกโม่งคลุมศีรษะสีดำ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า เสื้อยืด โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้กระทำผิด รวมทั้งให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บรรดาโจทก์ร่วม ที่ 1 จำนวน 1.8 แสนบาท, ที่ 2 จำนวน 9.9 หมื่นบาท, ที่ 3 จำนวน 1.3 แสนบาท, ที่ 4 จำนวน 2.2 ล้านบาท, ที่ 5 จำนวน 7.5 แสนบาท ที่ 6, 7 และ 8 จำนวน 2.25 ล้านบาท, ที่ 9 และ 10 จำนวน 7.5 แสนบาท
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้วว่า มีเหตุสมควรลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หรือไม่ เห็นว่าโจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และพยานแวดล้อมกรณีมาสืบให้รับฟังได้อย่างมั่นคงว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสามและผู้เสียหายและชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำของโจทก์ร่วมแล้วหลบหนีไป โดยจำเลยมิได้ลุแก่โทษเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานและสารภาพความผิด แต่ได้ความว่า เจ้าพนักงานตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวงเพื่อขอออกหมายจับจำเลย ลำพังพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาก็เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยได้แล้ว ฉะนั้น การที่จำเลยรับสารภาพเป็นเพราะเกิดจากจำนนต่อหลักฐาน การที่จำเลยชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส และฆ่าผู้อื่น เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น ฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ลักษณะของการกระทำความผิดจึงเป็นไปโดยอุกอาจ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมทารุณ ไร้มนุษยธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ถึงแม้จำเลยชดใช้ความเสียหายเพื่อบรรเทาผลร้ายสำนึกผิด
หรือ มีคุณความดีดังที่อุทธรณ์ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะสมควรใช้ดุลยพินิจลดโทษให้แก่จำเลยได้ ที่ศาลชั้นต้นให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยโดยไม่ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 นั้นย่อมเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยจึงยื่นฎีกาขอให้ศาลลดโทษ จนกระทั่งนัดอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ ทำให้คดีถือเป็นที่สิ้นสุด
ย้อนคำสารภาพ อดีต ผอ กลอฟ
หลังการจับกุม นายประสิทธิชัย สารภาพว่านำทอง ไปทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานบางระจันในจังหวัดสิงห์บุรีแต่เจ้าหน้าที่ค้นหาก็ไม่พบ ต่อมาในเวลา21.00น.ภรรยาของประสิทธ์ชัย ที่ตำรวจเชิญมาสอบสวนได้สารภาพว่าทอง ที่ขโมยมาอยู่ที่บ้านพัก หลังการตรวจพบเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบทอง ที่ขโมยมาซ่อนอยู่ในหลังคาโรงรถในบ้านของพ่อแม่ของประสิทธิชัย และประสิทธิชัยได้สารภาพว่าภายหลังก่อเหตุประสิทธิชัยได้มีความเครียด แต่ต่อมา 3 ถึง 4 วันประสิทธิชัย ก็ไม่เครียดเนื่องจากจะไปมอบตัวที่สถานีตำรวจท่องเที่ยวลพบุรีภายใน 1–2 วันนี้ เพราะรู้สึกว่าหลบหนีก็ไม่รอด และ เชื่อว่าหนีไม่รอดเนื่องจากหลักฐานต่าง ๆ เช่น รถ และกล้องวงจรปิด
คดีนี้เเถลงปิดคดีเมื่อ 23 มกราคม พ.ศ. 2563 ตำรวจแถลงข่าวนำของกลางที่ยึดมาจากประสิทธิชัยมาจัดแสดงและเปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่กองปราบปรามผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนท์ ซึ่งถือว่าเป็นการโฟนอินผู้ต้องหาเป็นครั้งแรกในประวัติศาตร์ไทย ผอ กลอฟ ระบแรงจูงใจว่าเกิดจากปัญหาส่วนตัว ปัญหาการเงิน เเละที่ต้องยิงคน "เป็นการยิงเพื่อขู่หรือยิงเพื่อเปิดทาง"
ไม่คิดว่ากระสุนจะไปถูกพนักงาน ร้านทอง ส่วนการยิงเด็กชายภาณุวิทย์ อ้างว่า ไม่เห็น คิดว่ากระสุนแฉลบไปถูกเด็ก ไม่ตั้งใจยิงเด็ก ยอมรับอีกว่าการก่อเหตุครั้งนี้ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า 2–3 วัน พร้อมกล่าว่า "สำนึกผิด"