มีการค้นพบพืชเติบโตและกินอาณาเขตใหญ่ที่สุดในโลก โดยพืชชนิดนี้คือหญ้าทะเลขนาด 200 ตารางกิโลเมตร หรือราวๆ สนามฟุตบอล 20,000 สนาม ต่อๆกัน ซึ่งแผ่อาณาเขตยาว 180 กิโลเมตร ในบริเวณอ่าวชาร์คเบย์ Shark Bay นอกชายฝั่งเมืองเพิร์ธ ทางตะวันตกของออสเตรเลีย ไปทางเหนือ 800 กิโลเมตร
นับเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจของวงการสิ่งแวดล้อมและ ธรรมชาติ เมื่อมีการค้นพบ พืชเติบโตและกินอาณาเขตใหญ่ที่สุดในโลก โดยพืชชนิดนี้คือหญ้าทะเลขนาด 200 ตารางกิโลเมตร หรือราวๆ สนามฟุตบอล 20,000 สนาม ต่อๆกัน ซึ่งแผ่อาณาเขตยาว 180 กิโลเมตร ในบริเวณอ่าวชาร์คเบย์ Shark Bay นอกชายฝั่งเมืองเพิร์ธ ทางตะวันตกของออสเตรเลีย ไปทางเหนือ 800 กิโลเมตร
และหากเปรียบเทียบให้เป็นภาพชัดๆกว่าเดิมก็คือ หญ้าทะเลนี้ จะขนาดใหญ่ เกือบๆเท่า เขตหนองจอกของกรุงเทพฯ ที่มีขนาดราวๆ 230 ตารางกิโลเมตร เลยทีเดียว (หรือราวๆ 3 เท่าของเกาะแมนฮัตตัน)
ทั้งนี้ บีบีซี รายงานว่า หญ้าทะเล เติบโตที่กินพื้นที่ขนาดกว้างขวางแบบนี้ เกิดจากเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว โดยมีจุดเริ่มต้น เมื่อ 4,500 ปีก่อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เครื่องจักรการเกษตรรุ่นใหม่มีน้ำหนักมากขึ้น อาจส่งผลเสียต่อดินในอนาคต
งานวิจัยชี้ ทรายกำลังหมดโลก ถ้าโลกนี้ไม่มีทรายจะเกิดอะไรขึ้น?
สำหรับ หญ้าทะเล ที่กลายเป็นข่าวครั้งนี้ ที่เติบโตเป็นระยะทางเป็นร้อยกิโลเมตรแบบนี้ เติบโตในหลายๆ สภาพอากาศ ดังนั้นจึงเป็นที่น่าสนใจ ในการศึกษาถึงพัฒนาการของการเจริญเติบโตของพืชชนิดนี้
ตามปกติแล้วพืชชนิดนี้โตในลักษณะขยายออกเป็นทุ่งหญ้าในอัตรา 35 เซนติเมตรต่อปี ดังนั้นแล้ว เมื่อพิจารณาจากขนาดที่เติบโตขนาดนี้แล้ว นักวิจัยคาดการณ์ว่าพืชต้นนี้น่าจะใช้เวลาราว 4,500 ปีในการเติบโตให้ได้ในขนาดปัจจุบัน
When I was sampling the #seagrass meadows in #SharkBay for this project we never expected this to be the outcome! Incredible results well done team! @SeagrassLiz@jane_edgeloe@_MBreedhttps://t.co/iRAx6EVvhY
— Rachel Austin (@Rachel_Austin_) June 1, 2022
ด้าน ดร.เอลิซาเบธ ซินแคลร์ หนึ่งในนักวิจัยของทีม ระบุว่า หญ้าทะลชนิดนี้ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถในการปรับตัวสูง แม้จะประสบกับอุณหภูมิและความเค็มที่หลากหลาย รวมทั้งสภาพที่แดดแรงมาก ซึ่งปกติจะทำให้พืชส่วนใหญ่มีความเครียดสูง โดย งานวิจัยดังกล่าวได้ตีพิมพ์บนวารสารชีววิทยา โพรซีดดิงส์ ออฟ รอยัล โซไซตี บี ของสหราชอาณาจักร (Proceedings of the Royal Society B)