แฉพฤติกรรมคนสนิท พระวันรัต ใช้อุบายลงลายมือชื่อ ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของวัด“วชิรธรรมาราม” สั่งจ่ายเข้าบัญชีตัวเอง สูญงินพัฒนาวัดไปกว่า 80 ล้านบาท เคยมีประวัติถูกจับคดีฉ้อโกง-ฟอกเงิน พบยักยอกตั้งแต่ปลายปีพฤศจิกายน 2564
หลังจาก สมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรฯ มรณภาพเมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการตรวจสอบพบการยักยอกเงินจากบัญชีของวัดบวรนิเวศวิหารและวัดสาขา ไปใช้ส่วนตัวเป็นเงินจำนวนมาก โดยพบหลักฐานว่า มีบุคคลกระทำการโดยมิชอบนำทรัพย์สินและเงินในบัญชีของวัดไปเป็นของตนเองโดยทุจริต จึงมีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ และเจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามได้กระทำการจับกุมผู้กระทำความผิดไปเรียบร้อยแล้ว คดีอยู่ในระหว่างการฝากขังชั้นสอบสวน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
จากรายงานข่าวระบุสาเหตุในการตรวจสอบครั้งนี้ พบว่า ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ทางผู้เกี่ยวข้องการตรวจสอบทรัพย์สินและบัญชีของวัดบวรนิเวศวิหารกับของวัดอื่น ๆ ที่อยู่ในความดูแลของเจ้าประคุณสมเด็จฯจนทราบว่าได้มีการ ยักยอกเงินวัด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จับคนสนิท "สมเด็จพระวันรัต" อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรฯ หลังมรณภาพ ยักยอก 80 ล้าน
สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรฯ มรณภาพแล้ว ด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
โดยพบว่านายน. ที่เป็น คนใกล้ชิด “สมเด็จพระวันรัต” ได้ออกกลอุบาลให้ พระวันรัต ลงชื่อในใบถอนเงิน จากนั้นคนใกล้ชิดคนดังกล่าวได้นำใบถอนเงินมาเขียนจำนวนเงินตามที่ตนต้องการ แล้วนำไปแสดงต่อพนักงานกสิกรไทยสาขาหนึ่ง เพื่อถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของวัดวชิรธรรมาราม
ต่อมาในต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา นาย น. ยังคงใช้อุบายเดิมซ้ำให้ “สมเด็จพระวันรัต” ลงชื่อและนำมาเขียนจำนวนเงินเองตามที่ต้องการ แต่ในครั้งนี้ผู้ใกล้ชิดอีกคนของ “สมเด็จพระวันรัต” เป็นผู้นำใบถอนเงินไปที่ธนาคารเพื่อถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของวัดวชิรธรรมารามแทน และมอบหมายให้ทําธุรกรรมซื้อแคชเชียร์เช็ค ของธนาคารกสิกรไทย สั่งจ่ายให้แก่ นาย น. จากนั้น นาย น. ได้นําแคชเชียร์เช็คไปฝากเข้าบัญชีเงินฝากของตนเองโดยทางวัดวชิรธรรมารามร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อให้ดําเนินคดีตั้งแต่ในวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างตรวจสอบว่า ผู้ใกล้ชิดคนดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่อย่างไร
รายงานข่าวยังระบุว่า หลังรับเรื่องกองบังคับการกองปราบปรามได้สืบสวน ประสานไปยังทางพระผู้ใหญ่ของ วัดบวรนิเวศวิหาร ถึงเรื่องราวดังกล่าว ทางผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร จึงมีคําสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินของ “สมเด็จพระวันรัต” อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารด้วย จนพบว่าเกิดเหตุในลักษณะเดียวกัน โดยตรวจสอบ พบว่า “สมเด็จพระวันรัต” ได้เปิดบัญชีเงินฝากส่วนตัว และบัญชีที่เกี่ยวข้องกับวัดบวรนิเวศวิหาร ไว้กับธนาคารกสิกรไทย จํานวนหลายบัญชี
โดยเมื่อประมาณปลายเดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา นาย น. ได้นําสมุดบัญชีเงินฝากจํานวนหลายเล่ม และบัตรประจําตัวประชาชนของสมเด็จพระวันรัต พร้อมโทรศัพท์มือถือของนาย น. มามอบให้บุคคลใกล้ชิดของสมเด็จพระวันรัตอีกคนหนึ่ง แล้วออกคำสั่งให้บุคคลใกล้ชิดดังกล่าว ไปติดต่อกับพนักงานธนาคาร เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลเครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ในการทําธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
แล้วหลังจากนั้น นาย น.จึงได้ใช้โทรศัพท์มือถือของตนเอง ทําธุรกรรมโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของสมเด็จพระวันรัต และบัญชีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัดบวรนิเวศวิหาร มายังบัญชีเงินฝากของตนเอง จนวัดวชิรธรรมาราม ได้รับความเสียหายเป็นเงินจํานวน 80 ล้านบาทเศษ และวัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับความเสียหายเป็นเงินจํานวน 100 ล้านบาทเศษ
โดยเหตุการณ์ยักยอกทรัพย์ครั้งใหญ่นี้ เกิดขึ้นในช่วงที่ สมเด็จพระวันรัต รักษาอาการอาพาทที่โรงพยาบาล เมื่อ นาย น. ได้เงินมาก็ทำการแปลงเป็นทรัพย์สินอื่น เช่น บ้าน รถหรูยี่ห้อดัง อาทิ ลัมโบร์กีนี เฟอร์รารี รวมทั้งซื้อ เพชร ทอง นาฬิกาหรู
จนคนรอบข้างที่พบเห็นเกิดความสงสัย
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2565 พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการออกหมายจับ นาย น. และสามารถจับกุมตัวนำมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้แล้วในความผิดฐาน ฉ้อโกง, ลักทรัพย์, ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และ ฟอกเงิน และอยู่ระหว่างการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
รายงานข่าวยังระบุอีกว่าเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า วัดวชิรธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา ถือเป็นวัดสาขาของวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งปัจจุบันกำลังมีการก่อสร้าง บูรณะปฏิสังขรณ์พัฒนาวัด โดยบัญชีที่ถูกยักยอกไปนั้นเป็นเงินจากการที่ผู้ศรัทธาบริจาคเพื่อพัฒนาวัด แต่พบว่ามีบางส่วนหายไป ซึ่งผู้ที่จะลงนามจ่ายถอนได้คือสมเด็จพระวันรัตคนเดียวเท่านั้น
นอกจากนี้มีรายงานว่านาย น. ถือเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจาก สมเด็จพระวันรัต เป็นอย่างมาก รู้จักกันมาไม่ต่ำกว่า 15 ปี ถึงขนาดที่สมเด็จพระวันรัตเมตตาฝากให้ทำงานในองค์กรชื่อดังแห่งหนึ่ง