svasdssvasds

เปิดประวัติและคำสอน "สมเด็จพระวันรัต" เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร

เปิดประวัติและคำสอน "สมเด็จพระวันรัต" เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร

เปิดประวัติ - คำสอน "สมเด็จพระวันรัต" เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เรื่องมาเฟียแห่งความชั่ว โลภะ โทสะ โมหะ รากเหง้าแห่งความชั่ว คบคนชั่วในตัวจะลักษณะนี้ จะชักพาให้เราไปคบกับคนชั่วนอกตัวที่มีลักษณะเดียวกัน

 เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊กวัดบวรนิเวศวิหาร โพสต์ข้อความคำสอน "สมเด็จพระวันรัต" (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร มีเนื้อหาว่า

มาเฟียแห่งความชั่ว ๓ ราย

วันหนึ่งระหว่างฉันภัตตาหารร่วมกันกับพระบวชใหม่

สมเด็จฯ ท่านก็ถามขึ้นมาว่า

"เราคบคนชั่วกันอยู่บ้างรึเปล่า?"

คำถามนี้เล่นเอาพระบวชใหม่ทั้งหลายสะดุ้ง

ไปต่อกันไม่ถูกเลยที่เดียว

และต่างพากันนึกถึงคนรอบตัวว่ามีใครเข้าข่ายคนชั่วบ้างหรือไม่กันยกใหญ่

ท่านคงเห็นอาการที่กำลังนั่งคิดของแต่ละรูป จึงพูดต่อไปว่าไม่ต้องไปนึกถึงใครอื่นไกลนะ คนชั่วที่อยู่ในตัวของเรานั่นล่ะ

 คราวนี้ทุกคนยิ่งสะดุ้งหนักกว่าเดิม แต่เป็นอาการสะดุ้งที่มาพร้อมกับปัญญาที่ถูกสะกิดให้คิดพิจารณา

ท่านสอนว่า ถ้าเราคบคนชั่วในตัว 3 คน คือ โลภะ โทสะ โมหะ คนชั่วในตัวเหล่านี้ก็จะชักพาให้เราไปคบกับคนชั่วนอกตัวที่มีลักษณะเดียวกัน

ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาให้ดีว่า เราคบหากับคนชั่วในตัวมากน้อยเพียงใด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรฯ มรณภาพแล้ว ด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

 เมื่อผมมาค้นคว้าเพิ่มเติมจึงพบว่า ทั้ง 3 คน ที่สมเด็จพระวันรัตเอ่ยถึงนั้น ทรงอิทธิพลถึงขั้นเรียกว่าเป็น มาเฟียของคนชั่ว ก็ว่าได้ เพราะ 3 คนชั่วนี้ มักจะดึงเราให้ไปคบกับคนชั่วรายใหม่ ๆ หรือถ้าเราคบคนชั่วรายอื่นอยู่บ้างแล้ว มาเฟียทั้ง 3 รายนี้ก็จะส่งเสริมให้คนชั่วอื่น ๆ ในตัวเราเจริญรุ่งเรืองและแผ่อิทธิพลความชั่วมากขึ้นไปอีก

ลองมารู้จักมาเฟียแห่งความชั่วทั้ง 3 รายที่ว่านี้กัน

• โลภะ คือ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอเสมือน ไฟไม่รู้จักพอด้วยเชื้อ มหาสมุทรไม่รู้จักเต็มด้วยน้ำ หากเรามีความอยากไม่เกินขอบเขต ไม่ออกนอกลู่นอกทางแห่งความสุจริต ก็ย่อมเป็นประโยชน์กับการก่อร่างสร้างตัว แต่หากไม่เคยพอก็มักจะจ้องหาช่องทางหาเอาเพิ่ม เอาอีก เอามากขึ้น อยากไต่บันไดให้สูงขึ้นตลอดเวลา โดยไม่เลือกวิธีการจนนำไปสู่การแสวงหาในทางทุจริต และเป็นโทษกับตนในที่สุด อาการสำคัญแห่งโลภะที่สังเกตได้ง่ายแต่อาจไม่รู้ตัวก็คือ ความเห็นแก่ตัว 

ทั้งนี้การเลิกคบโลภะ เริ่มต้นได้ด้วย การให้ทาน โดยควรทำทานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความอยากในตนให้ลดน้อยลงจนสลายไปในที่สุด

• โทสะ คือ ความโกรธ คิดประทุษร้าย คิดล้างผลาญ เมื่อถูกความโกรธครอบงำ ระงับความโกรธไม่อยู่ ก็มักจะก่อกรรมทำเข็ญอย่างรุนแรง ทำร้ายบุคคลที่ทำให้โกรธไม่ได้ ก็ล้างผลาญทรัพย์สินของเขา  ทำร้ายญาติมิตรของเขา คนรอบตัวเขา เราน่าจะเคยเห็นตัวอย่างร้ายแรงของคนเจ้าโทสะกันมาบ้าง เราจึงต้องระวังรักษาตัวเราให้ดี หมั่นถามคนรอบข้างดูบ้างว่าเราเป็นคนมีโทสะแรงไหม บ่อยไหม ต้องพยายามลดการคบหาโทสะให้น้อยลงไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้เรากลายเป็นคนเจ้าโทสะ

• ทั้งนี้ การเลิกคบโทสะ ทำได้ด้วย การเจริญเมตตา แปลว่า การฝึกจิตให้คิดอยากเห็นผู้อื่น
มีความสุขอยู่เสมอ ๆ ถ้าเราพยายามเข้าใจเขา มีเมตตาต่อเขา ความโกรธก็ยากที่จะดำรงอยู่ได้ ทำเช่นนี้สม่ำเสมอ โทสะก็จะห่างไกลไปเอง

โมหะ คือ ความหลง ความงมงาย รู้อะไรแบบไม่แจ่มแจ้ง แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ออก ถือเป็นคนมืดและย่อมทำความผิดต่าง ๆ ได้ตั้งแต่ผิดเล็กน้อยไปจนถึงผิดร้ายแรง ความหลงมักนำไปสู่ทัศนคติ พฤติกรรมที่สะท้อนความเขลาเบาปัญญา เช่น ลบหลู่คุณคน ตีตนเสมอท่าน อิจฉาริษยา โอ้อวดเกินจริง หูเบา คือฟังคำคนแล้วเชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง มัวเมาในสิ่งที่ทำโดยไม่ฟังคำเตือนจากใครเลย เกียจคร้าน ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่เร่งทำในสิ่งที่พึงทำในเวลา เป็นต้น

• ทั้งนี้ การเลิกคบโมหะ ทำได้ด้วย การหมั่นใช้ปัญญา เท่านั้น ต้องหมั่นคิดพิจารณาแยกแยะชั่วดีให้แจ่มแจ้ง โดยเริ่มต้นจากการเปิดหู เปิดตา เปิดใจ คิดพิจารณาข้อมูลให้รอบด้าน แม้สิ่งนั้นจะไม่ต้องจริตของเราก็ตาม

 ปัญญาเป็นเสมือนมีดที่ลับบ่อยๆ ก็จะคมและช่วยกรีดผ่านมายาทั้งหลายให้เราเห็นผิดชอบได้ชัดแจ้งขึ้นทำให้ห่างไกลจากโมหะได้ง่ายขึ้น

โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นชื่อว่าเป็น มาเฟีย เป็น รากเหง้าแห่งความชั่ว

ก็แปลว่าจัดการไม่ง่าย แต่ไม่ได้แปลว่าจัดการไม่ได้ มาเริ่มขบวนการกวาดล้างมาเพีย และคนชั่วรายอื่นๆ ในตัวของเราพร้อมกัน

ที่มา : วัดบวรนิเวศวิหาร

related