svasdssvasds

6 แกนนำพรรคการเมือง ประชันวิสัยทัศน์ อนาคตประเทศไทย 2022

6 แกนนำพรรคการเมือง ประชันวิสัยทัศน์ อนาคตประเทศไทย 2022

6 แกนนำพรรคการเมืองโชว์วิสัยทัศน์ “การเมืองใหญ่ จะพาประเทศไทยไปทางไหน” แนะปฏิรูประบบราชการ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม-เทคโนโลยี รับฟังคนรุ่นใหม่

แกนนำ 6 พรรคการเมือง ร่วมงาน Nation Dinner Talk Thailand Future อนาคตประเทศไทย 2022 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอทเซ็นทรัลเวิลด์ โชว์วิสัยทัศน์ใน หัวข้อ "การเมืองใหญ่ จะพาประเทศไทยไปทางไหน" ดังต่อไปนี้

วราวุธ ศิลปะอาชา : สร้างจุดแข็งด้วยแนวคิดพัฒนาชีวิตด้วยเศรษฐกิจสีเขียว

นายวราวุธ ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวในหัวข้อแผนฟื้นฟูประเทศหลังวิกฤตโควิด-19 ว่า จากการทำงานในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า แม้ประเทศไทยจะมีพื้นที่เพียงส่วนเล็กๆ ในโลก แต่เรามีความอุดมสมบูรณ์ ประเทศไทยพร้อมที่จะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลกใบนี้ หาอาหารให้กับคนทั้งโลก

แต่การทำเกษตรแบบเก่าใช้ที่ปุ๋ยเคมี ใช้ไม่ได้อีกต่อไปต้องหาเทคโนโลยีใหม่มาสร้างจุดแข็ง พรรคชาติไทยพัฒนาจึงได้เสนอแนวคิดการนำเทคโนโลยีการเกษตร มาบวกกับองค์ความรู้ที่มีอยู่ทั่วประเทศ หรือปราชญ์ชาวบ้าน ยกตัวอย่างเยอรมนีประสานกับไทย นำแนวคิดหลักการปลูกข้าวแบบใหม่ที่ใช้น้ำน้อยลง ใช้ปุ๋ยน้อยลง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ให้มากขึ้น ได้ผลผลิตต่อไร่มากขึ้น

ดังนั้นเราต้องการส่งสินค้าทางการเกษตรที่มีราคาแพงที่สุด แต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมประเทศไทยน้อยที่สุด นี่คือเป้าหมายที่จะเดินไปข้างหน้า ขณะเดียวกันสร้างจุดแข็งใหม่ ช่วยเสนอแนวคิดพัฒนาชีวิตด้วยเศรษฐกิจสีเขียว

จากเดิม เราใช้ Black Gold หรือ น้ำมัน หรือ ฟอสซิลฟีโอ เราจะเปลี่ยนมาเป็น Green Gold นี่คือคาร์บอนเครดิต เมื่อเรามีแนวคิด Green Gold แล้ว จะนำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามา การผลิตคริปโตฯ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และเราจะทำ Green Coin ขึ้นมา ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุน Coin ตัวนี้ตามความเหมาะสมต่อไป และจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนซื้อขายเทรดดิ้งคาร์บอนเครดิตในอนาคต

นายวราวุธ ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา

ข่าวที่น่าสนใจ

ศิริกัญญา ตันสกุล : ปฏิรูประบบราชการ คือทางรอดของประเทศ

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า วิกฤติและภาวะที่ท้าทาย ประเทศไทยต้องการรัฐบาลที่มีศักยภาพมากขึ้น ไม่ใช่ลดลง มีขีดความสามารถในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

พร้อมทั้งกล่าวถึงงบประมาณที่ขณะนี้ 40% เป็นรายจ่ายประจำปีจะต้องนำไปจ่ายให้กับข้าราชการ และนำไปสนับสนุนรัฐราชการ อีกทั้งยังสร้างหนี้เพิ่มมากขึ้นและไม่มีงบประมาณที่จะนำมาแก้ปัญหาให้กับประชาชนอย่างแท้จริง

ดังนั้นต้องมีการปฏิรูประบบราชการ หรือโครงสร้างภาครัฐทั้งระบบ เพื่อกระจายรายได้ไม่ให้กระจุกตัว คืนอำนาจคืนโอกาสให้กับประชาชนผ่านการปลดล็อกท้องถิ่น ก็จะทำให้เกิดการระเบิดพลังทางเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล

กรณ์ จาติกวณิช : เปลี่ยนระบบราชการ ปลดล็อกเศรษฐกิจ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ระบุว่าปัจจุบันเราอยู่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤตินี้อาจไม่เหมือนในอดีตเพราะเป็นวิกฤติระดับประชาชน ซึ่งประชาชนวันนี้มีปัญหาเรื่องการทำมาหากิน มีรายได้น้อย สินค้าราคาแพง ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น

และปัญหาของวิกฤตภาคประชาชนในครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะประชาชนคนยากคนจน แต่ชนชั้นกลางกำลังเดือดร้อนอย่างสาหัส  เราเคยมีความหวังว่าจะสร้างประเทศด้วยการเพิ่มชนชั้นกลาง เช่นเดียวกับนักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษา ก็รู้สึกว่าขาดความหวังและไม่มีโอกาสทางเศรษฐกิจ รวมถึงเกษตรกรที่วันนี้ก็ได้รับความเดือดร้อนเรื่องผลผลิตและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น โอกาสในการเข้าถึงการตลาดขาดการพัฒนา และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

นอกจากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นจากวิกฤตโควิด19 แถมยังมาเจอวิกฤติของสงครามเข้ามาอีกด้วย ทั้งนี้ มาตรการชุดความคิดนโยบายที่อิงกับความคิดในอดีตไม่สามารถที่จะใช้การได้อีกแล้ว

ในอดีตเรานึกถึงปัจจัยการผลิตหลักอยู่ 4 ข้อ แต่วันนี้แค่ 4 ปัจจัยไม่เพียงพอ เราต้องเปลี่ยนความคิด เราต้องเติมและอัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ คือนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตรกรรม หรือผู้ประกอบการ โดยต้องสร้างด้วยการศึกษาที่ดีขึ้น ต้องมีบุคลากรที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ มีการฝึกในเรื่องของระบบความคิดเชิงนวัตกรรม

แต่ทุกอย่างจะไม่สามารถเป็นไปได้ หากประเทศไทยยังคงไว้ซึ่งระบบราชการแบบเดิม และนี่เป็นสิ่งที่พรรคกล้าต้องการนำเสนอ เพราะหากสามารถทำได้ก็จะสามารถนำพาประชาชนและประเทศชาติให้หลุดพ้นจากความยากจนและสร้างโอกาสได้

ดังนั้นจึงต้องนำระบบราชการทั้งหมดเข้าสู่ระบบดิจิตอล ทำให้ระบบราชการอยู่ในโทรศัพท์มือถือ สิ่งที่จะตามมาคือประสิทธิภาพและต้นทุนที่ลดลง และนี่คือภารกิจที่สำคัญที่จะสร้างอนาคตของประเทศไทย ให้มีโอกาสสำหรับประชาชนที่จะก้าวหน้าได้

ทั้งนี้หากเราสามารถทำได้ก็จะเป็นโอกาสของประเทศชาติ แต่การจะทำได้นั้นต้องพึ่งปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุด คือ ทัศนคติ Mindset และความตั้งใจ ถ้าเราเปลี่ยนทัศนคตินี้ได้ มีความมุ่งมั่น มีความชัดเจน ว่าเราจะต้องเปลี่ยนแปลงในระบบราชการเพื่อปลดล็อกระบบเศรษฐกิจให้กับภาคเอกชนและประชาชน ประเทศไทยก็จะก้าวหน้าได้

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ : ประชาธิปไตยที่กินได้ คือทางรอดของประเทศ

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า 2-3 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบกับวิกฤติปัญหาโควิดเศรษฐกิจและการเมือง โดยประเด็นการเมือง พรรคการเมืองจะต้องมีหน้าที่นำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตยยิ่งขึ้น หากไม่ทำ เชื่อว่าจะเกิดแรงเสียดทานทางการเมือง การบริหารประเทศจะไม่มีวันจบ พรรคการเมืองจะต้องไม่แบ่งสีแบ่งฝ่ายต้องทำเพื่อคนทุกระดับ ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง

พรรคการเมืองต้องทำหน้าที่ความซื่อสัตย์สุจริต เพราะเมื่อไรที่พรรคการเงินบริหารบ้านเมืองแล้ว ก็จะเป็นปัญหาที่นำไปสู่การรัฐประหารเกือบทุกครั้ง ขณะที่ประเด็นด้านเศรษฐกิจ ทิศทางที่พรรคประชาธิปัตย์จะทำ คือ เน้นการสร้างเมืองและกระจายเม็ดเงินสู่ระบบเศษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ พรรคการเมืองต้องเป็นพรรคทันสมัย โดยประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองเดียวที่มีทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคการเมืองต้องเป็นพรรคที่สร้างคน

พร้อมย้ำว่า จากผลงานที่ผ่านมาในการร่วมรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่ทำได้ไว นำกลไกเศรษฐกิจยุคใหม่มาใช้ทั้งอีคอมเมิร์ซ บล็อกเชน เมตาเวิร์ส ดังนั้นอนาคตประเทศไทยต้องเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตย โดยไม่ใช่ประชาธิปไตยไส้แห้ง หรือประชาธิปไตยท้องถิ่น แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยท้องอิ่ม หรือที่เรียกว่าประชาธิปไตยกินได้เท่านั้น จึงจะเป็นทางรอดของประเทศไทย

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ : ราชการต้องไม่เป็นอุปสรรค ในการทำมาหากินของประชาชน

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ตอนนี้ประเทศไทยเผชิญชีวิตคือการเมือง ซึ่งเป็นมาต่อเนื่องยาวนานมา 2 ปี ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤตโรคระบาด และวิกฤตการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี -สิ่งแวดล้อม

เราจะออกจากวิกฤตนี้ได้ต้องเริ่มแก้ที่วิกฤตการเมืองก่อน เราติดกับดักความขัดแย้ง ตั้งแต่ปี 2548 หรือ 17 ปีมาแล้ว มีการสร้างวาทกรรมต่างๆ ขึ้นมา เกิดความขัดแย้งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าที่จะลดน้อยถอยลง มีแต่มากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีปัญหาของรัฐราชการ ที่บริหารงานล้มเหลว เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างสูง 30 ปีที่ตนอยู่การเมืองมา วันนี้ประเทศชาติตกต่ำมาก ประชาชนทุกข์ยากมาก หนี้สินสูง ทั้งหนี้ประชาชนและหนี้รัฐบาล ทั้งหมดเกิดจากอำนาจนิยม มันกลายเป็น Money Politics หรืออำนาจเงิน มีโครงการประชานิยมที่แจกเงินแบบไม่มีประสิทธิภาพ และยังใช้เงินซื้อเสียงล่วงหน้า บิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชนในการเลือกตั้ง

ขณะเดียวกันยังมีรัฐราชการที่กดทับ จากการออกกฎระเบียบต่างๆ เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากิน ต้องเปลี่ยนเป็นรัฐของประชาชน อำนวยความสะดวกให้ประชาชนทำมาหากินได้ ไม่เช่นนั้นคนที่จะได้เปรียบคือระดับเจ้าสัว

สุดท้ายคือเรื่องของกติกา รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ให้มีการสืบทอดอำนาจ ยังมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีอีก พรรคไทยสร้างไทยจึงมองว่าต้องปลดล็อกประชาชนออกจากสิ่งกดทับ คือใบอนุญาตกฎหมายต่างๆ ที่ล้าสมัยประมาณ 1,500 ฉบับ เราจะออกพ.ร.ก. 1 ฉบับ เพียง 3 สัปดาห์ พักการใช้ใบอนุญาต และกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชนทันที อย่างน้อย 1,200-1,300 ฉบับ เหลือแค่ 200-300 ฉบับ

และการทำให้ประชาชนเข้าถึงโอกาสทำมาหากิน เข้าถึงทุน แหล่งความรู้ มีกองทุน SME กองทุนวิสาหกิจชุมชน กองทุนท่องเที่ยว กองทุนเครดิตประชาชนเพื่อคนตัวเล็ก และเราต้องสร้างประเทศไทยจากจุดแข็งของเราคือการท่องเที่ยว สุขภาพ และอาหาร

นอกจากนี้ยังต้องเอาประโยชน์จากโลกยุคใหม่ ทำให้ไทยเป็น Digital Hub ให้ได้ พรรคไทยสร้างไทยให้ความสำคัญดูแลตั้งแต่เกิดจนแก่ เราขอลงทุนกับการสร้างคนตั้งแต่ในครรภ์ เรียนดี เรียนฟรี มีคุณภาพ ลดเวลาเรียน เพิ่มวิชาการเรียนที่ใช้ได้กับคุณภาพชีวิตและหากินในโลกปัจจุบัน มีสวัสดิการรักษาพยาบาล คนแก่มีบำนาญหรือบำนาญประชาชน เพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัย

ถ้าเราไม่ทำเรื่องนี้เราจะเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยคนแก่ที่ยากจน ร่างกายอ่อนแอ และสุดท้ายพรรคการเมืองจะต้องปรับเปลี่ยนเป็นพรรคที่เป็นของประชาชน เพื่อประชาชนเท่านั้น

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย

อุตตม สาวนายน : นำเสนอแนวคิด 5 สร้าง เพื่อสร้างอนาคตให้กับประเทศ

นายอุตตม สาวนายน ผู้ก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ สุ่มเสี่ยงและน่าห่วง เราเผชิญวิกฤติเชิงซ้อนที่ตอกย้ำและเขย่าโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่เปราะบางอยู่แล้ว ยังต้องพบกับความทุกข์จากค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ผู้ประกอบการถูกซ้ำเติมด้วยต้นทุนการผลิตที่ทะยานขึ้นรวดเร็ว และยังมีโครงสร้างรัฐราชการที่เป็นโครงสร้างรวมศูนย์การตัดสินใจและอำนาจมาในอดีต

แต่โครงสร้างแบบนี้ไม่สามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้จากวิกฤตนี้ หากไม่มีการปฏิรูปนับวันจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและอนาคตที่สดใสของคนไทยหรือไม่ ถึงเวลาที่พวกเราต้องร่วมกันช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

คนรุ่นใหม่ซึ่งมีสิทธิ์กำหนดชีวิตและอนาคตของตัวเอง นำมาผสมผสานกับประสบการณ์ของคนรุ่นที่ทำงานเป็นระยะเวลาสิบๆ ปี เพื่อปรับเปลี่ยนแปลงกระบวนการการบริหารงานของคนบางกลุ่ม หรือเฉพาะกลุ่ม

วันนี้อยากเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันสร้างอนาคตประเทศไทย และตนขอเสนอแนวทาง 5 สร้าง คือ

1. สร้างเศรษฐกิจฐานรากไทยให้เข้มแข็ง

2. พัฒนาภาคอุตสาหกรรม เศรษฐกิจประเทศไทยมีความจำเป็นต้องก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ

3. สร้างสังคมที่เป็นธรรมและเกื้อกูล

4. สร้างคนและวิทยาการให้มีความพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วในอนาคต

5. ร่วมสร้างการเมืองที่สร้างสรรค์ ไม่สร้างความร้าวฉาน เป็นประชาธิปไตยแท้จริง

นายอุตตม สาวนายน ผู้ก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย

related