กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า จัด how to ใส่จดหมาย ให้นายกฯ ใช้แก้วิกฤตโควิด

ยอดผู้เสียชีวิตวันละ 30-50 ราย อาจหมายถึง 30-50 ครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และหากเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือเป็นเสาหลักที่หารายได้เข้าบ้านด้วยแล้ว พวกเขาจะใช้ชีวิตยังไง ต้องไปกู้หนี้ยืมสินหรือเปล่า ไหนจะปัญหาสุขภาพจิตที่อาจตามมา ในวิกฤตโควิดระลอกที่ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า สถานการณ์จะดีขึ้นเมื่อไหร่ กรณ์ จาติกวณิช จึงออกโรงส่งสารผ่านกระบอกเสียงของ พรรคกล้า ไปยังนายกฯ รัฐบาล รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และยังเผยข้อความในจดหมายสู่สาธารณะ

กรณ์ จาติกวณิช สื่อสารอะไรใน "จดหมายเปิดผนึก"

ทางออก ทางแก้ รวมถึงตัวอย่างในต่างประเทศมีให้เห็นมากมาย แต่เหมือนว่าวิกฤตโควิดแต่ละระลอกไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด คำแนะนำจากภาคส่วนต่างๆ ก็ดูจะไม่เป็นผล งานนี้หัวหน้าพรรคกล้า กรณ์ จาติกวณิช จึงออกโรง เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ แยกประเด็นปัญหาและทางออกมาทีละข้อ รวม 6 ข้อ ดังรายละเอียดด้านล่างนี้

-------------------------------

เรียน นายกรัฐมนตรี
เรื่อง  ข้อเสนอการรับมือโควิด-19 ว่าด้วยเรื่องเตียงรักษาไม่พอและการบริหารจัดการ

ตามที่ท่านทราบ การเข้าถึงเตียงรักษาพยาบาลในกรุงเทพฯ และปริมณฑลตอนนี้วิกฤตอย่างมาก ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ กลุ่มกล้าอาสาหาเตียงของพรรคกล้าได้รับคำขอความช่วยเหลือหาเตียงให้ผู้ป่วยโควิดมากที่สุดตั้งแต่เราเริ่มรับอาสาช่วยเรื่องนี้ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ทุกวันนี้มีผู้รอเตียงนานนับหลายวันจนเสียชีวิต เพราะไม่ได้รับการรักษา

จากประสบการณ์ตรงของพวกเรา เราขอเสนอประเด็นให้รัฐบาลพิจารณาปรับปรุง เพื่อการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ป่วยโควิดจะได้เข้ารับการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

1. ในเมื่อเตียงในพื้นที่กรุงเทพฯ เต็มแล้ว ต้องมี "ระบบการส่งต่อคนไข้เคสสีเหลืองไปโรงพยาบาลต่างจังหวัด” อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งตามกฎการส่งต่อต้องอาศัยการประสานโดยโรงพยาบาลต้นสังกัด แต่ผู้ป่วยหลายคนเข้าไม่ถึง รวมทั้งสาธารณสุขพื้นที่ ก็ยังไม่มีนโยบายให้ทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ตอนนี้เคสสีเหลืองคือต้นตอของปัญหาคอขวด เพราะไป Hospitel ก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่วิกฤตถึงขั้นที่จะรับเข้าโรงพยาบาล เราจึงมีเคสสีเหลืองติดอยู่ที่บ้านจำนวนมาก และเป็นตัวการหลักในการแพร่เชื้อสู่ชุมชน การประสานและส่งต่อไปโรงพยาบาลในจังหวัดใกล้เคียงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องรีบพิจารณา เพราะคนไข้เคสเหลืองและเหลืองปนแดงเหล่านี้ มีโอกาสเปลี่ยนเป็นสีแดงอาการวิกฤตมากขึ้นจนเกิดความสูญเสียอีกมาก

2. "เพิ่มจำนวนบุคลากร” ในการรองรับสายเข้าทั้ง 1330/ 1668/ 1669/ 1646 และไลน์ 1668.register / @sabaideebot เพื่อให้ผู้ป่วยหรือญาติสามารถลงทะเบียนข้อมูลจองเตียงได้สะดวกขึ้น เพราะสองวันนี้เวลาเฉลี่ยในการรอสายเกินกว่า 40 นาที และต้องเพิ่มข้อมูลให้บุคลากรรับสายสามารถช่วยผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งต้องพัฒนาระบบติดตามผล ป้องกันการตกหล่น โดยรวมฐานข้อมูลของทุกเบอร์ call center เข้าด้วยกัน

นอกจากนี้ควรมีเจ้าหน้าที่อีกชุดหนึ่งเพื่อให้ข้อมูลการดูแลตัวเองที่บ้าน แนะนำการแยกตัวอออกจากผู้อื่น และการรักษาอาการเบื้องต้นเพื่อให้ผู้ป่วยที่อาการน้อย สามารถบรรเทาอาการตัวเองที่บ้านได้และไม่กระจายเชื้อเพิ่ม การได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่และรับข้อมูลที่เชื่อถือได้จะช่วยบรรเทาความกังวลของผู้ป่วยและญาติได้มาก

สิ่งที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องเผชิญ

• วิกฤตกรกฎาคม ! ชมรมแพทย์ชนบท เผย เตียงเต็ม ICU เต็ม แถมวัคซีนโควิด-19 มาน้อย

• พยาบาล โพสต์ภาพช่วยคนไข้จนเป็นลม ลั่นบุคลากรมีน้อย รับมือโควิด19 ไม่ไหว

• เปิดคลิปนาทีพยาบาลสาว เป็นลมคาชุด PPE จนเพื่อนๆ ต้องรีบเข้ามาช่วย

3. สายด่วนจำเป็นอย่างยิ่งต้อง “โทรฟรีทุกเบอร์" จากทุกเครือข่ายและจากทุกปลายทาง อาสาของเราในต่างจังหวัดที่ช่วยโทรประสานหาเตียงเจอประสบการณ์รอสายจนเงินในโทรศัพท์หมด อย่าให้การโทรลงทะเบียนหาเตียงเป็นภาระเรื่องเงินกับผู้ป่วยอีกเลย

4. ช่วงนี้ผู้ติดเชื้อและผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงทยอยเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาในต่างจังหวัดเพื่อหวังจะได้รับการรักษามากขึ้นเรื่อยๆ อัตราการแพร่ระบาดในต่างจังหวัดจะเพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะจะไม่มีทางทราบเลยว่าใครเดินทางไปที่ไหนบ้าง

รัฐบาลควรต้อง

• เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ในการกลับไปรักษายังภูมิลำเนา เพื่อจะได้มีข้อมูลผู้ติดเชื้อที่ชัดเจนและสามารถทำการส่งตัวได้อย่างปลอดภัย ไม่เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่น แม้ปัจจุบันจะมีบางจังหวัดเริ่มเปิดลงทะเบียนในลักษณะดังกล่าวนี้แล้ว แต่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเมื่อเทียบกับภาพรวมทั้งประเทศ
• หากอยากให้สัมฤทธิผลจริงๆ ต้องประกาศเป็นนโยบายระดับประเทศ เพื่อให้แต่ละจังหวัดปฏิบัติในรูปแบบเดียวกันอย่างเคร่งครัด และที่สำคัญ
• รัฐบาลต้องรีบจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานและโรงพยาบาลในจังหวัดเพราะทุกการส่งต่อผู้ป่วยมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูง

5. รัฐบาลต้องดูแลเรื่องของการ "ฉีดวัคซีนและจัดอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมให้กับกลุ่มอาสา สมัคร กู้ภัย และมูลนิธิ" ที่ทำหน้าที่รับส่งผู้ป่วยอยู่ตลอดเวลาแทบไม่ได้พักกระจายกันอยู่ทั่วประเทศ รวมไปถึงหัวหน้าชุมชนที่คอยประสานงานรวมถึงดูแลคนป่วยในพื้นที่ สิ่งที่จำเป็น ได้แก่

• ชุด PPE Medical Grade ที่มีคุณสมบัติป้องกันการติดเชื้อได้
• ถุงครอบรองเท้ายาว
• แว่น Goggle
• Face Shield
• หน้ากากอนามัย Medical Grade

และรัฐควรจัดหาเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้วให้กับทุกชุมชนเพื่อติดตามอาการและส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยได้แม่นยำมากขึ้น

6. การดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ได้รับผลติดเชื้อ เนื่องจากศักยภาพการรักษาในโรงพยาบาลจำกัดมาก รัฐบาลควรสร้างระบบติดตามอาการ ลงทะเบียนพิกัดจัดส่งอาหาร น้ำ และอุปกรณ์จำเป็นในการดูแลตัวเองรวมถึงยาต้านไวรัสให้ผู้ป่วยกักตัวที่บ้าน โดยแยกเป็น

• เคสสีเขียว อาการไม่หนัก ไม่มีโรคประจำตัว เมื่อรู้ผลควรได้รับหน้ากาก N-95 สำหรับผู้ป่วยและคนในบ้าน แอลกอฮอล์/น้ำยาทำความสะอาดสำหรับฉีดพ่นพื้นที่สัมผัสร่วมในบ้านเรือน
• เคสสีเหลือง กรณีผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูงมีโรคประจำตัวหรือเริ่มมีอาการระบบทางเดินหายใจมากขึ้น ควรมีที่วัดออกซิเจนปลายนิ้วให้ผู้ป่วยด้วย และสามารถส่งคืนกลับมาใช้ในระบบเมื่อหายดีแล้ว

หากข้อเสนอของเราจะเป็นประโยชน์ในทางใดก็ตาม ผมและทีมงานกล้าอาสาทุกคน ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีนำข้อเสนอเหล่านี้ ซึ่งเป็นข้อเสนอโดยตรงจากการลงมือทำหน้างานไปปรับใช้โดยด่วน

พวกเราจากพรรคกล้าพยายามทุกทางในการบรรเทาความเดือนร้อนของผู้คนเท่าที่เราจะทำได้ในกำลังที่เรามี และจะทำหน้าที่ของเราเพื่อช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤตฉุกเฉินต่อไป

กรณ์ จาติกวณิช
หัวหน้าพรรคกล้า

-------------------------------

ดูหน้าตาจดหมายเปิดผนึกกันซะหน่อย

หัวหน้าพรรคกล้าจัดลำดับ 6 ข้อ how to เพื่อให้ทั้งรัฐบาลนำไปพิจารณาและดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยปูทาง how to ให้ผู้อ่านสารนี้เข้าใจทีละปมปัญหา แล้วนำเสนอวิธีแก้/สิ่งที่ควรทำสำหรับทุกระดับหรือทุกฝ่าย ยาวไปจนถึงขั้นแนะว่า ควรกำหนดนโยบายอะไร อย่างไร

จัดเต็มมาขนาดนี้ อยู่ที่รัฐบาลแล้วว่า จะกล้าทำอย่างที่พรรคกล้าชี้เป้ามาหรือไม่