สรุปให้ รังสิมันต์ โรม แฉขบวนการค้ามนุษย์ คดีลักลอบขนคนผิดกฎหมายข้ามชายแดน ในอดีตที่เคยทำให้อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ต้องลี้ภัยไปออสเตรเลีย คดีที่ไร้การคุ้มครองข้าราชการผู้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา
กลายเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างหนัก จนกระทั่งได้มีการติดแฮชแท็กบนโลกทวิตเตอร์ #ค้ามนุษย์ ทันที เมื่อ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ชำแหละขบวนการค้ามนุษย์ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 32 โดยได้อภิปรายถึงเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียด
ในการประชุมสภาครั้งนี้ นายรังสิมันต์ โรม ได้อภิปรายว่า เมื่อปี 2564 เดือนมิถุนายนนั้น มีการรายงานการค้ามนุษย์จากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ว่าการค้ามนุษย์ของประเทศไทยนั้น ถูกลดระดับลงไปอยู่ในกลุ่มเกือบแย่ที่สุด เพราะมีรายละเอียดถึงการลักลอบขนคนอย่างผิดกฎหมายข้ามชายแดนประเทศเมียนมาและไทย พร้อมทั้งมีการเรียกเก็บเงินเป็จจำนวน 10,000-70,000 บาท อีกทั้งขบวนการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร หน่วยงานท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ทั้งที่เมื่ออดีตเคยมีการปราบปรามเรื่องดังกล่าวโดย พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เป็นผู้ดำเนินการ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เมื่อครั้งปี 2558 เคยมีการปราบปรามการค้ามนุษย์จนเอาตัวคนผิดมาลงโทษได้ตั้งแต่นายหน้าค้ามนุษย์จนถึงทหารระดับสูง โดย พล.ต.ต.ปวีณ อดีตหัวหน้าชุดทำคดีโรฮีนจาในช่วงปี 2558 ที่เคยค้นพบชาวโรฮีนจา โรงนอนและหลุมศพจำนวนมาก ที่เทือกเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการค้าทาสที่ป่าเถื่อนโดยอาชญากรในเครื่องแบบร่วมมือด้วย โดยเฉพาะ พล.ท. มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ซึ่งเป็นจำเลยสำคัญในคดี อีกทั้งยังมีมีนักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจ ทหารหลายนาย
ซึ่งจากการพยายามทำคดีขบวนการค้ามนุษย์ พล.ต.ต.ปวีณ ต้องทำเรื่องขอลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลีย โดยมีคำให้การต่อทางการทั้งที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด อีกทั้งคดีค้ามนุษย์ ที่ทำการตามหาพยานเองและนำจนมาสู่การออกหมายจับ นอกจากนั้นยังพบหลักฐานการโอนเงินของ เจ๊ง้อ (ที่ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ที่ในเบื้องลึกแล้วมีความสัมพันธ์โยงใยกับนายทหารระดับอดีต ผบ.ทบ. ที่อยู่ในรัฐบาลนี้ด้วย และคดีหายไปนานตั้ง 6 ปีก็เพิ่งมาจับตัวลูกสาวเจ๊ง้อได้
อีกชื่อในใบสลิปที่รับเงินมาคือชื่อของ พล.ท.มนัส ปรากฎกว่าหลักฐานเหล่านี้พล.ต.ต.ปวีณรู้มาจากนักข่าว เพราะมีขบวนการขัดขวางการสืบสวนสอบสวน ปิดบังพยานหลักฐานต่างๆ ที่ทำโดยตำรวจเพื่อนร่วมอาชีพ นอกจากนั้นยังมีการใช้เส้นสายเพื่อช่วยเหลือ พล.ท.มนัส ให้ได้รับการประกันตัว
ทั้งที่คดีการค้ามนุษย์ที่ พล.ท.มนัส เป็นผู้ต้องหา เป็นคดีการกระทำที่เกี่ยวเนื่องนอกราชอาณาจักร ผู้ที่จะสั่งประกันตัวได้นั้นไม่ใช่นายกฯ รองนายกฯ หรือ ผบ.ตร. แต่เป็นอัยการสูงสุด ซึ่งการใช้เส้นสายดังกล่าวทำให้ พล.ต.ต.ปวีณ ถูกกดดันอย่างหนักทั้งจากตำรวจและทหาร แต่เมื่อรายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อขอออกหมายจับทหารบกเพิ่มอีก 3 นายและทหารเรืออีก 1 นาย กลับถูกสั่งให้เก็บหมายจับ และใช้วิธีการส่งหมายไปให้กองทัพแบบเงียบๆ
ผลปรากฎว่าทำให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ อดีตรอง ผบ.ตร. ในขณะนั้นถูกย้ายเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ท้ายสุดแล้วทีมสอบสวนพล.ต.ต.ปวีณสามารถนำสำนวนส่งอัยการสูงสุดได้ทันก่อน พล.ต.อ.เอก ถูกย้ายจนเป็นคดีความอยู่ในปัจจุบันนี้
จากการกระทำดังกล่าวทำให้ในวันที่ 21 ต.ค. 2558 ได้มีการอนุมัติย้าย พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ไปรักษาราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ ถือเป็นพื้นที่ที่มีเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์หนาแน่นและเป็นพื้นที่เสี่ยงที่กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์จะเอาคืน ทำให้ พล.ต.ต.ปวีณ ได้ขอลี้ภัย แต่กลับมีการออกมากล่าวอ้างว่า เป็นพฤติกรรมของนายตำรวจที่ไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นใบลาออกตามมาภายหลัง
จากการกระทำดังกล่าวนาย รังสิมันต์ โรม ได้ย้อนถามไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ผู้ที่เคยคุมตำรวจในช่วงเวลานั้นเป็นระยะว่า นับเป็นการสมรู้ที่รวมหัวกันหาข้ออ้างเพื่อเอาคนที่ทำกับพวกตัวเองไปตายใช่หรือไม่ และเคยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตำรวจที่ทำงานอย่างตรงฉินเช่นนี้บ้างหรือไม่ ก่อนที่จะทิ้งท้ายในการอภิปรายไว้ว่า
"แท้จริงแล้วคดีนี้มีใครใหญ่กว่าพล.ท.มนัสหรือไม่ มีคนในรัฐบาลตอนนี้มีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ การขัดขวางการสอบสวนของทีม พล.ต.ต.ปวีณ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเพื่อตัดตอนคดีนี้หรือไม่ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ทราบสาเหตุการเสียชีวิตของ พล.ท.มนัส หรือไม่ มีคนพยายามเสนอให้พล.ต.ต.ปวีณลาออก แต่ไม่ยอมเลือกจึงต้องลี้ภัย ทุกวันนี้ได้คุ้มครองข้าราชการตงฉินแบบนี้บ้างไหม รัฐบาลแบบนี้มีค่าให้ใครไว้วางใจฝากชีวิตไว้ได้บ้าง ทำคนดีๆต้องลี้ภัย ทำลายล้างคนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ระบอบปรสิตถ้าไม่รีบเอาออกจะกัดกินคนทำงานและประชาชนจนไม่เหลือชิ้นดี ขอให้ประชาชนเลิกสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้"
หลังจากมีการอภิปรายไปก่อนหน้า วันนี้ (19 ก.พ. 2565) รังสิมันต์ โรม ส.ส. พรรคก้าวไกล และ พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ได้มีการเชิญ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ ปัจจบันเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบออนไลน์ผ่านเพจพรรคก้าวไกล โดยเป็นการพูดถึง "กว่าจะเป็นตั๋วช้างภาค 2"
พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ ได้เปิดใจครั้งแรกว่า "วันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุดวันหนึ่ง มันเป็นเรื่องความทุกข์ที่สร้างความเครียดเรื่องหนึ่งในชีวิต นับแต่ต้องหนีออกจากประเทศไทย จนถึงวันนี้ นับเป็นเวลา 6 ปี 3 เดือน 3 วัน จากการถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม จาก สตช. จากรัฐบาล และผู้มีอำนาจ จากการอภิปรายของพรรคก้าวไกล กับการเปิดเผยเรื่องราวที่ผ่านมา ขอยืนยันว่านั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง
ทุกวันนี้ต้องใช้ชีวิตเหมือนผู้ลี้ภัย ต้องเรียนภาษาเหมือนคนซีเรีย เลบานอน หรือเหมือนคนพม่า ต้องเรียนและหางานทำเลี้ยงชีพโดยไม่รู้ตัวมาก่อน ภาษาก็ไม่ได้ ทรัพย์สินก็ไม่มี ถึงเวลานี้รู้สึกได้รับความเป็นธรรมกลับมาครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่งขาดหายไป เสียดายหากวันนั้นประเทศไทยมีประชาธิปไตยแท้จริง มีนายกฯและผู้บริหารที่อยากให้ประเทศใสสะอาด มีความกล้าหาญให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปเที่ยงตรง เหมือนนานาประเทศ ที่ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปอย่างสุดทาง
ชีวิตราชการของผม ความสามารถของผม ประสบการณ์ของผม มั่นใจว่า จะสาวไปถึงปลาตัวใหญ่อีกหลายตัวแน่นอน นี่คือความรู้สึกที่อยากจะบอกทุกคนครับ" พล.ต.ต.ปวีณ กล่าว