เปิดเรื่องราวชีวิตของ "ดีเจมะตูม" ที่เจอมรสุมครั้งใหญ่กับการจัดปาร์ตี้วันเกิดจนติดโควิด-19 โดนด่าโดนประณามอย่างหนัก ทุกข์ทรมานเหมือนคนตายทั้งเป็น
หากย้อนไปเมื่อช่วงมกราคม ปี 2564 ชื่อของพิธีกรฝีปากกล้า "ดีเจมะตูม เตชินท์" กลายเป็นชื่อที่โดนสังคมวิพากษ์วิจารณ์และประณามอย่างหนัก กับกรณีจัดปาร์ตี้วันเกิดจนติดเชื้อโควิด-19 เป็นคลัสเตอร์ใหม่ในเวลานั้น อีกทั้งยังถูกดำเนินคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนเป็นประเด็นร้อนอยู่พักใหญ่
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดีเจมะตูม ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง และประพฤติตัวให้เหมาะสม ไม่ได้กระทำผิดซ้ำ พร้อมทั้งตระหนักถึงข้อกฎหมายอยู่ตลอด เห็นได้จากการไปรายงานตัวที่สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานครทุกๆ 3 เดือน จนครบ 1 ปี ซึ่งตอนนี้คดีความสิ้นสุดลงแล้ว
โดยล่าสุด ดีเจมะตูม ได้มาเปิดใจผ่านรายการ คุยแซ่บshow ถึงมรสุมในชีวิตที่เกิดขึ้น ถาโถมเข้ามาทำให้ทุกข์ทรมาน เหมือนคนตายทั้งเป็นอยู่ตลอดเวลา จนเกือบคิดจบชีวิต แต่เจ้าตัวก็สามารถก้าวผ่านมาได้ เพราะคำว่ากำลังใจและมีหลักธรรมยึดเหนี่ยวจิตใจ
ทุกอย่างถาโถมเข้ามา จนตั้งรับไม่ทัน
"ตูมโดนหนักมากๆ อย่างที่ทุกคนทราบ ช่วงสถานการณ์ที่ตูมติดโควิด เมื่อต้นปี 2021 เป็นคนในวงการคนแรกที่ติดโควิดแล้วมีข่าวหนักมาก และน่าจะมีตูมคนเดียวที่ติดโควิดแล้วโดนคดีความด้วย ชีวิตเรากลายเป็นอีกคนเลย จากคนในวงการ ต้องโดนออกจากวงการ แล้วเข้าสู่กระบวนการของกฎหมาย ตอนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันถาโถมเข้ามาแบบใช้คำว่าตั้งรับไม่ทัน"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดีเจมะตูม เผยความในใจบทเรียนที่ได้จากคดีความจัดวันเกิดฝ่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
สรุปปมดราม่า ดีเจมะตูม ติดโควิด-19 ขอโทษสังคม ยอมรับไร้จิตสำนึก
สิ่งที่เป็นตราบาปในใจ คือแม่โดนด่าไปด้วย
"ทุกๆ การดังของโทรศัพท์เรา มันเหมือนเป็นเสียงนรก เหมือนคนจมน้ำ แต่ไม่ยอมตายสักที เรานอนไม่ได้ เรากินไม่ได้ ที่มันหนักจริงๆ คือมีข่าวคลัสเตอร์ลามไปอีกงานหนึ่ง แล้วมีคนเดือดร้อนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เรื่องคอมเมนต์ไม่ต้องพูดถึง แม่ตูมโดนหนักมาก นี่เป็นสิ่งที่เป็นตราบาปในใจอยู่เลยคือ ทำให้คนเกือบทั้งประเทศไล่แม่ อยากให้แม่เราไปตาย
ซึ่งมีคอมเมนต์หนึ่งมันเอาออกจากหัวไม่ได้เลย คือ เพราะคันคะเยอที่อยากจะจัดปาร์ตี้ทำให้คนอื่นต้องซวยกันไปหมด ขอให้โควิดลงปอดมึง แล้วแม่ของมึง แล้วหายไปจากโลกใบนี้ ตูมหายไปจากโลกใบนี้ โอเคคุณอาจจะพอใจ แต่แม่ของตูมไม่สมควร เขาเป็นผู้หญิงที่ดีครับ"
29 มกราคม คือวันที่อยากจบชีวิตตัวเอง
"วันที่ 29 เป็นวันที่คดีความเริ่มหนักขึ้น เป็นคดีที่คนทั้งประเทศให้ความสนใจ ปกติจะเจอนักข่าวบันเทิง แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตูมต้องเจอนักข่าวอาชญากรรม เจอนักข่าวที่ไม่รู้จักมาก่อน และการตอบคำถามของตูมในตอนนั้น เราไม่ได้พูดขอโทษสังคมในฐานะดีเจมะตูม เราไปในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ทำผิดต่อสังคมแล้วต้องขอโทษ มันทำให้เรารู้สึกว่านี่อาจจะเป็นวันสุดท้ายแล้วแหละที่ได้นั่งอยู่หน้ากล้อง"
"คำว่า 'ดีเจมะตูม' เมื่อเสิร์ชเข้าไปในกูเกิล ผลงานสร้างชื่อคือติดโควิด สิ่งที่ทำมาทั้งหมดในวงการ มันหายไปหมด แล้วมันมีคำว่าคลัสเตอร์มะตูม,มะตูมซุปเปอร์สเปรดเดอร์ ชื่อนี้มันจะติดตัวเราไปตลอด เพราะฉะนั้นตูมคิดว่าอนาคตในวงการมันจบแน่นอน"
ความตายเท่านั้นจะชดใช้ความผิดนี้
"ใช่ครับ คืออยากให้พี่หนิง (หนิง ปณิตา) รู้ไว้ว่าที่พี่พยายามช่วยตูม เอาธรรมะเข้ามาหาตูม มันสายไปแล้วนะพี่ ณ ตอนนั้นแค่มีความรู้สึกว่าทำยังไงก็ได้ให้ฉันไม่ต้องรู้สึกทรมานแบบนี้ได้ไหม ตั้งแต่ตูมเกิดมาจนอายุ 30 กว่า สิ้นมกราคมปีที่แล้ว ตูมใช้คำว่านั่นคือช่วงเวลาที่ทุกข์และตกต่ำที่สุดในชีวิตของตูมแล้ว ตูมไม่เคยสัมผัสความทุกข์ทรมานขนาดนั้นมาก่อน มันเหมือนคนตายทั้งเป็นอยู่ตลอดเวลา"
กลับมามีสติ เพราะน้ำพริกกะปิฝีมือแม่
"ภาพที่ตูมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าห้อง ICU แม่ยกมือไหว้พยาบาลขอให้ลูกได้เอาข้าวกล่องนี้ไปกินในห้องได้ไหม มันเป็นภาพที่เรานั่งอยู่บนเตียง แต่เรามองเห็นแม่เราแบบจะเอามาให้ได้ ซึ่งตูมไม่รู้ว่าในนั้นคืออะไร พยาบาลยอม พอเขาเอาเข้ามา กล่องข้าวอันนั้นมันคือกล่องเดียวเหมือนกับตอนไฮสคูลเลย ณ วินาทีนั้นเรารู้สึกว่าเราจะเป็นอะไร เราจะติดโควิด คนจะเกลียดเราทั้งประเทศยังไง เราก็คือมะตูมลูกของแม่หญิงที่เขาอยากจะดูแลเราไปตลอด"
"ในกล่องข้าวมีโน้ตเล็กๆ เขียนไว้ว่า 'จำได้ไหมนี่คือสิ่งที่แม่เคยทำให้ ดีใจจังที่มีโอกาสได้ทำอีกครั้ง' ตูมไม่รู้เรื่องความกตัญญูตอนที่ตูมบวชนะครับ ตูมรู้วันนั้น ตูมรู้ว่าสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในชีวิตมนุษย์ของบุตรคือบุพการี ตูมรู้เลยว่าไม่ว่าตูมจะเป็นคนแบบไหนในสังคม ไม่ว่าตูมจะถูกหล่อหลอมแบบไหนด้วยสังคมยังไงก็แล้วแต่ พ่อกับแม่ไม่มีวันทิ้งตูม อันนี้คือสิ่งที่ตูมรู้วันนั้น"
คนส่วนใหญ่มองบวชเพื่อต้องการล้างมลทิน ใช้ผ้าเหลืองชุบชีวิตใหม่?
"บวชล้างบาป คุณมีสิทธิคิดอย่างนั้นได้นะครับ ตูมเข้าใจเลยว่าคนจำนวนมากต้องคิดแบบนั้น แต่สำหรับตัวตูม ต้องการบวชเพื่อศึกษาพระธรรมคำสอน ต่อให้ตูมไม่บวช ตูมทำอะไรสักอย่าง ถ้าเขาไม่ชอบก็คือคนไม่ชอบ คอมเมนต์ในโซเชียลเขาตะโกนว่าเรา 100 คน แต่ถ้าเราเลือกเอาแต่ดีๆ ที่เป็นประโยชน์มาไว้ใกล้ๆ หูเราก็เดินต่อได้ คอมเมนต์ด่าเราทั้งหมด ตูมไม่เพิกเฉย แต่ตูมก้าวผ่าน ตูมทำได้ครับ ตูมสามารถเลือกที่จะวางเขาได้"
คำด่าเป็นแค่ตัวอักษร
"ตูมเชื่อนะครับ วันนี้ตูมไม่ได้มานั่งพูดในรายการในฐานะของดีเจมะตูมที่อยู่ในวงการบันเทิง ตูมขอใช้พื้นที่ตรงนี้พูดในฐานะมนุษย์คนหนึ่งครับ ที่มีรัก โลภ โกรธ หลง มีกิเลสตัณหา มีความผิด แต่รู้สึกตัวแล้วก็ศรัทธาในพระธรรมคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า ตูมขอแค่เป็นส่วนเล็กๆ ที่ยังพอจะสามารถเอาประสบการณ์ตัวเองมาเผยแพร่ สืบสานและสืบทอดพระพุทธศาสนาของตูมเอง ตูมขอแค่นี้พอ"
"ฝากคนที่ดูอยู่ตอนนี้เลย ไม่ว่าใครก็ตามที่มาด่าคุณในโซเชียลให้ทำความเข้าใจไว้ว่า เพราะเขาไม่ได้รู้จักเราดี และไม่ได้อยากรู้จักเราดีด้วย เพราะถ้าเขาอยากรู้จักเราจริงๆ เขาจะไม่ตัดสินเราขนาดนั้น พี่รู้ไหมคนที่พิมพ์ด่าเราในโซเชียล บางคนพิมพ์เป็นหน้ากระดาษเลย เขาเสียเวลาพิมพ์ด่าเราไม่น่าเกิน 5 นาที เราจะเก็บ 5 นาทีนั้นมาเป็นชั่วชีวิตเราไม่ได้"