หมอเฉลิมชัย ประเมินสถานการณ์ติดเชื้อโควิด-19 ไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น คาดจุดพีคติดเชื้อสูงสุดไม่น่าจะเกิน 50,000 รายต่อวัน เสียชีวิตไม่น่าจะเกิน 50 รายต่อวัน
สถานการณ์โควิดวันนี้ (6 ก.พ. 65) ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,879 ราย ติดเชื้อสะสม 2,497,001 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 20 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 22,291 ราย และผลตรวจจาก ATK / เข้าข่ายติดเชื้อ 4,632 ราย
นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chalermchai Boonyaleepun ระบุว่า
วางใจจำนวนผู้ติดโควิดยังไม่ได้ แต่อาจจะพอเบาใจเรื่องจำนวนผู้เสียชีวิตได้ คาดติดเชื้อสูงสุดไม่น่าจะเกิน 50,000 รายต่อวัน เสียชีวิตไม่น่าจะเกิน 50 รายต่อวัน ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น
คงต้องแยกสถานการณ์โควิดออกเป็น 2 ประเด็นคือ เรื่องจำนวนผู้ติดเชื้อ และจำนวนผู้ป่วยหนัก/เสียชีวิต
โดยเราทราบจากการเก็บข้อมูลสถิติต่างๆทั่วโลกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีไวรัสโอมิครอนเป็นสายพันธุ์หลักว่า
1. โอไมครอนมีความสามารถในการแพร่ระบาดเร็วและง่ายกว่าเดลต้า 4 เท่า จึงเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในเกือบทุกประเทศทั่วโลก
2. โอไมครอนมีความรุนแรงในการก่อโรคและทำให้เสียชีวิตน้อยกว่าเดลต้า 3.5 เท่า จึงพบจำนวนผู้ป่วยหนักหรือเสียชีวิตทั่วโลกในระลอกนี้น้อยกว่าในระลอกเดลต้าที่ผ่านมา
3. เมื่อพิจารณาในระดับโลกจะพบว่า การติดเชื้อระลอกนี้ มีจำนวนที่สูงกว่าในระลอกของเดลตาชัดเจน เช่น
สหรัฐอเมริกา
ติดเชื้อเฉลี่ย 800,000 รายต่อวัน
ถ้าปรับจำนวนประชากรเทียบกับประเทศไทยแล้ว
ไทยจะติด 1.7 แสนรายต่อวัน
อังกฤษ
ติดเชื้อเฉลี่ยวันละ 100,000 รายปรับประชากรเทียบกับไทยแล้ว
ไทยจะติด 1 แสนรายต่อวัน
ญี่ปุ่น
ติดเชื้อเฉลี่ยวันละ 100,000 ราย
ปรับประชากรเทียบกับไทยแล้ว
ไทยจะติดเชื้อ 50,000 รายต่อวัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• "เดลตาครอน" ไม่มีอยู่จริง "หมอเฉลิมชัย" ชี้แค่เป็นการปนเปื้อนสารพันธุกรรม
• หมอเฉลิมชัย เผย "โอไมครอน" ใช้เวลาแค่ 1 เดือน กลายเป็นสายพันธุ์หลักแทนเดลตา
• "หมอเฉลิมชัย" เผย 9 ปัจจัย เหตุใดไทยเอาโควิด "โอไมครอน" อยู่ แตกต่างจากยุโรป
4. สำหรับประเทศไทย จึงมีโอกาสที่จะพบผู้ติดเชื้อตั้งแต่ 50,000 รายถึง 170,000 รายต่อวัน แต่ตัวเลขน่าจะมาในทาง 50,000 รายของญี่ปุ่น
เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยใส่หน้ากากใกล้เคียงกันส่วนอังกฤษและสหรัฐฯใส่หน้ากากน้อยกว่า ส่วนอัตราความครอบคลุมฉีดวัคซีนถือว่าไม่ต่างกันมากนัก
5. การเสียชีวิต
ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิต 0.1% (92 ราย จากผู้ติดเชื้อ 94,431 ราย)
ส่วนไทยเสียชีวิต 0.2% (21 ราย จาก ผู้ติดเชื้อ 10,490 ราย)
ส่วนในระดับโลก เสียชีวิต 0.4% ( 956 ราย จากผู้ติดเชื้อ 216,984 ราย)
6. พิจารณาสำหรับประเทศไทย อัตราผู้เสียชีวิตน้อยกว่าในระดับโลก แต่ยังสูงกว่าประเทศญี่ปุ่น
7. โดยขณะนี้ ไทยเสียชีวิตจาก โอไมครอนน้อยกว่าเดลตาประมาณ 5 เท่า
ระลอกที่ 3 ที่เกิดจากไวรัสเดลตาเป็นหลัก ไทยพบ
ผู้ติดเชื้อสูงสุด จำนวน 23,418 ราย
(13 ส.ค. 2564)
ผู้เสียชีวิตสูงสุด จำนวน 312 ราย
(18 ส.ค. 2565)
สถานการณ์ขณะนั้น
ฉีดวัคซีน 22 ล้านโดส
เข็มหนึ่ง 17 ล้านโดส
เข็มสอง 5 ล้านโดส
เข็มสาม 0.4 คโดส
9) ระลอกที่ 4 จากไวรัสโอไมครอน เรามีอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มสูงเป็นอย่างมากคือจำนวน 116 ล้านโดส
เข็มหนึ่ง 52 ล้านโดส
เข็มสอง 48 ล้านโดส
เข็มสาม 15 ล้านโดส
10. ดังนั้นตัวเลขคาดการณ์ จึงจะมีตัวแปรสำคัญ จากจำนวนวัคซีนที่เราฉีดเพิ่มขึ้น โดยคำนวณจาก
ผู้ติดเชื้อสูงสุด 23,418 ราย ×4 เท่าจากความสามารถของโอมิครอน จะเป็น 93,672 ราย
ส่วนผู้เสียชีวิตสูงสุด 312 ราย หารด้วย 3.5 เท่า จะเหลือ 89 ราย
11. เมื่อประมวลตัวเลขดังกล่าวข้างต้นทั้งหมด จึงพอจะสรุปได้ว่า
11.1 จำนวนผู้ติดเชื้อในระลอกที่สี่จากโอไมครอนของประเทศไทย เรายังไม่สามารถวางใจจำนวนผู้ติดเชื้อได้ ซึ่งช่วงนี้ติดวันละ 10,000 ราย
เพราะเมื่อดูจากตัวเลขของวิชาการระดับโลก ของประเทศหลักๆแล้ว ของเราน่าจะใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่น เมื่อปรับจำนวนประชากรแล้ว คือติดเชื้อวันละไม่เกิน 50,000 ราย(ขณะนี้ญี่ปุ่นติดวันละ 100,000 ราย)
และจำนวนผู้เสียชีวิต ก็คงอยู่ในระดับ 0.1% ของจำนวนผู้ติดเชื้อ ก็คือเสียชีวิตไม่น่าจะเกิน 50 ราย
11.2 ทั้งนี้มีตัวแปรที่สำคัญคือ
วินัยของประชาชนในการใส่หน้ากาก และหลีกเลี่ยงการถอดหน้ากากเวลาอยู่ใกล้ชิดกัน
และมาตรการผ่อนคลายของรัฐบาล ที่ไม่ผ่อนคลายเร็วเกินไป
ก็จะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อ และจำนวนผู้เสียชีวิต เป็นไปตามที่คาดการณ์
ที่มา : เฟซบุ๊ก Chalermchai Boonyaleepun