หุ้น Meta ร่วง หลัง Facebook เผยผลประกอบการรายได้ไตรมาสสุดท้ายปี 2021 พาหุ้นต่างๆ ล้มทั้งกระดาน เทียบกับบทเรียน 25 ปีก่อน "ยุคฟองสบู่ดอทคอม"
จากการที่ Facebook เผยผลประกอบการมีรายได้สุทธิประมาณ 1.03 หมื่นล้านดอลลาร์ (3.4 แสนล้านบาท) ในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2021 ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ของ Wall Street คาดการณ์ไว้
กำไรที่ลดลงอย่างมากมาจากการขาดทุนในธุรกิจ Metaverse มากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (3.3 แสนล้านบาท) โลกเสมือนแห่งอนาคตที่บริษัทหมายมั่นว่านี่คืออนาคตของบริษัทและทุ่มลงทุนอย่างเต็มที่ จนถึงขนาดเปลี่ยนชื่อจาก Facebook เป็น Meta ในปลายเดือนตุลาคมเสียด้วยซ้ำ
การรายงานผลประกอบการทำให้หุ้นของ Meta ร่วงกว่า 26% คิดเป็นมูลค่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์ (7.9 ล้านล้านบาท) ทั้งนี้การร่วงของหุ้น Meta ไม่ใช่แค่ผลประกอบการที่ลดลงจากการขาดทุนใน Metaverse แต่รวมไปถึงความท้าทายต่อธุรกิจหลักอย่างโฆษณา จากความเปลี่ยนแปลงของ iOS ที่ Apple ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทำให้การยิงโฆษณาส่วนบุคคลเป็นไปได้ยากมากขึ้น และสุดท้ายจากการที่ผู้ใช้งาน Facebook รายวันในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาลดลง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
ในเดือนตุลาคมนอกจากข่าวดีที่ Facebook เปลี่ยนชื่อเป็น Meta แล้ว ยังถือเป็นเดือนเดียวกันกับที่ Facebook ต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ มากมาย ทั้ง เหตุการณ์ Facebook , Instagram และ WhatsApps ล่มในวันที่ 4 ต.ค. 2021 จากการส่งคำสั่งผิดพลาดในคอนฟิกเราท์เตอร์ สั่งให้เซิฟเวอร์ของบริษัทในเครือทั้งหมด "ตัดตัวเองออกจากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต" ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่หน้าบ้านจากผู้ใช้งานที่ไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซค์ต่างๆ ได้ แต่ยังรวมไปถึงทีม Web Engineer (วิศวกรเครือข่าย) ก็ไม่สามารถเข้าหลังบ้านได้ด้วยเช่นกัน
จากการหายไปของ Facebook , Instagram และ WhatsApps นานกว่า 6 ชั่วโมงจากหน้าอินเทอร์เน็ต ยังมาซ้ำเติมด้วย "ฟรานเชส เฮาเกน" (Frances Haugen) อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ Facebook วัย 37 ปี ที่ออกมาเปิดโปงผ่านรายการ "60 Minutes" ช่อง CBS ถึงความจริงอันดำมืดของบริษัท ว่า Facebook-Instagram ทราบดีถึงผลกระทบในการใช้งานสื่อของตน ทั้งการสร้างความเกลียดชังในสังคม (โดยเฉพาะด้านการเมือง) การไซเบอร์บูลลี่ที่มีผลอย่างมากต่อเด็กสาววัยรุ่น และ Fake News
แต่ Facebook กลับนิ่งเฉย เพราะเห็นถึงความสำคัญต่อรายได้ของบริษัทมากกว่าผลกระทบต่อสังคม
อย่างที่รู้กันดีว่า Facebook ขึ้นศาล ขึ้นสภาคองเกรส สอบสวนถึงผลกระทบจากการใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เพียงหนึ่งวันก่อนที่ Facebook จะเปลี่ยนชื่อเป็น Meta อัยการสหรัฐฯ ฟ้อง "มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก" (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้ง-ซีอีโอ Facebook ในวันที่ 28 ต.ค. เหตุ Facebook ขายข้อมูลของผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านบัญชีให้กับ "แคมบริดจ์แอนาไลติกกา" (Cambridge Analytica) บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเมือง ที่รับผิดชอบการรณรงค์หาเสียงของ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จนทำให้ Facebook ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน
อีกหนึ่งปัญหาสำคัญต่อรายได้ที่ลดลงของ Facebook คือจำนวนผู้ใช้งานรายวันที่ลดลง และศัตรูคนสำคัญที่แม้แต่มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ยังต้องออกตัวในโพสต์ 7 แผนธุรกิจที่ Meta วางไว้ในปี 2022 อย่าง TikTok แอพลิเคชั่นวีดิโอสั้นสัญชาติจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็วจนทำให้ยอดผู้ใช้งานวัยรุ่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด
แม้ Facebook จะแก้เกมด้วยการออกฟีเจอร์วีดิโอสั้น Reels ใน Instagram ตั้งแต่เดือนเมษายน 2021 แต่ก็ยังตามหลัง TikTok อยู่มาก และมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ระบุว่า "จะทุ่มความสำคัญให้กับ Reels ในระยะยาว เพื่อให้แน่ใจว่าแอพของเราเป็นบริการที่ดีที่สุดสำหรับคนหนุ่มสาว"
แต่ Instagram ก็อยู่ในสถานะที่ไม่ต่างจาก Facebook เพราะวันที่ 8 ธ.ค. 2021 "อดัม มอสเซรี" (Adam Mosseri) หัวหน้า Instagram เผชิญคำถามจากสภาฯ เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยสำหรับเด็ก
แม้ Instagram เคยวางระบบ Instagram for Kids หรืออินสตาแกรมสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ก็ถูกพับโครงการไปตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2021 รวมถึงออกฟีเจอร์ "Take a Break" เพียงหนึ่งวันก่อนที่อดัม มอสเซรี ขึ้นสภาฯ
ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเหตุผลได้ว่าทำไม Meta ถึงมีผลประกอบการลดลง 8% โดยมีกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 3.67 ดอลลาร์ (121.04 บาท) ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.84 ดอลลาร์ (126.64 บาท)
แต่ไม่ใช่หุ้นของ Meta ที่ร่วงเพียงอย่างเดียว แต่ยังพาหุ้นทั้งกระดานล้มไปด้วยดัชนี NASDAQ Composite (COMP) ลดลง 3.7% หรือ 538.73 จุด ปิดที่ 13,878.82 และดัชนี S&P 500 (SPX) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่กว้างที่สุด ร่วงลง 2.4% ลดลง 111.94 จุด สู่ 4,477.44 ในขณะที่ดัชนี DOW (INDU) ดีขึ้นเล็กน้อย ซื้อขายลดลง 1.5% แต่นั่นก็ยังลดลงเกือบ 520 จุด สู่ 35,111.16
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หุ้นบริษัทเทคโนโลยีพาทั้งกระดานร่วง
ย้อนกลับไปช่วงปี 1995-2000 ตอนนั้น สหรัฐอเมริกาเคยเกิดภาวะฟองสบู่ ที่เรียกว่า "Dot-com bubble" หรือ ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอทคอม (ฟองสบู่อินเทอร์เน็ต) ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายมากขึ้น ทำให้ใครหลายคนวาดฝันว่า อินเทอร์เน็ตจะสามารถทำการเชื่อมต่อผู้คน จนถึงกระทั่งการค้าขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันก็สามารถทำได้จริงทั้งหมดแล้ว
แต่ในสมัยนั้นอินเทอร์เน็ตเพิ่งมาถึง ด้วยการเปิดตัวเว็บเบราว์เซอร์ในปี 1993 ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าถึง World Wide Web (WWW) จากปี 1990-1997 ครัวเรือนในสหรัฐอเมริกาที่เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 35% และจากแต่ก่อนที่มองว่า "คอมพิวเตอร์เป็นสินค้าที่ฟุ่มเฟือยไปสู่สินค้าจำเป็น"
ในขณะเดียวกัน "อลัน กรีนสแปน" (Alan Greenspan) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve System: FED) ในขณะนั้น ได้ลดอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตทั้งหลายที่ลงท้ายด้วย ".com" (ดอทคอม) มีความพร้อมด้านเงินทุนเพิ่มสูงขึ้น
เพียง 4 ปี จากปี 1996-2000 ดัชนี NASDAQ ที่เต็มไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายพุ่งทะยานอย่างมาก จาก 600 ไปถึงจุดสูงสุดที่ 5,048 ในปี 2000 หรือขึ้นมากกว่า 10 เท่า จากการที่หุ้นเทคโนโลยีราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากราคา IPO ตั้งแต่วันแรกที่เข้าตลาดหุ้น เรียกได้ว่าทำกำไรได้ง่ายและเร็วมาก จนทำให้เหล่านักลงทุนให้ความสนใจอย่างมาก
โดยที่บริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากมาจากความคิดของคนที่เพิ่งจบใหม่จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ยังไม่มีแนวทางการทำธุรกิจที่ชัดเจน และไม่มีแม้แต่ผลประกอบการด้วยซ้ำ
แต่จากการที่หุ้นเหล่านี้พุ่งขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล ทำให้เหล่านักลงทุนละเลยพื้นฐานการวิเคราะห์การลงทุน จนสุดท้ายมาพบว่าตัวเองพบเข้ากับฟองสบู่ฟองใหญ่เพียงเท่านั้น จนสุดท้ายดัชนี NASDAQ ร่วงจากจุดสูงสุดที่ 5,048 เหลือเพียง 1,114 ในวันที่ 9 ต.ค. 2002 ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นในการหาจุดต่ำสุด แต่อย่างน้อย NASDAQ ก็โตขึ้นจากปี 1996 ที่ราว 600 จุด มาถึง 1,100 จุด เฉลี่ยแล้วปีละกว่า 8%
การเก็งกำไรหุ้นเทคโนโลยีจนเกินพื้นฐานความเป็นจริง และปั่นราคาไปเรื่อยๆ ในตอนนั้น อาจเป็นหนังม้วนเก่ากลับมาฉายใหม่ในตอนนี้ จากการที่ให้หุ้น Meta บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงมาก การแกว่งตัวครั้งใหญ่ของราคาหุ้นจึงสามารถจมหรือยกดัชนีตลาดในวงกว้างได้ การร่วงลงครั้งนี้ของ Meta ยังส่งผลต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ต่ำลง อาทิ Amazon , Etsy , Pinterest และ Twitter
ตอนนั้นเป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ตอนนี้เป็นเทคโนโลยีมากมายที่อยู่ในโลก Metaverse หรือนี่เป็นแค่การเปลี่ยนบทบาทใหม่จากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ?