Climate Change สาเหตุ ฝนตก-น้ำท่วมใหญ่ ใน 400 ปีของยุโรป จากฝีมือมนุษย์

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งร้ายแรงในยุโรปตะวันตก อย่าง เยอรมนี และ เบลเยี่ยม เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นผลสืบเนื่องมาจากฝนตกใหญ่ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 220 ราย บ้านเรือนและอาคารหลายหลังพังทลายกลายเป็นซากปรักหักพัง

การศึกษาที่ดำเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัย 39 คนจาก กลุ่มเครือข่ายความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศนานาชาติ (World Weather Attribution: WWA) พบว่า นี่คือฝนหนักที่สุดในรอบ 400 ปี และเป็นแนวโน้มจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ 9 เท่า ปริมาณน้ำฝนในแต่ละวันจาก 3% เพิ่มสูงขึ้นกลายเป็น 19%

ศ.ดร.มาร์เท่น ฟาน อาลสต์ (Maarten van Aalst) ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศและภัยพิบัติ จากมหาวิทยาลัยทเวนเต้ (Twente University) ประเทศเนเธอร์แลนด์ อธิบายว่าความถี่ใน 1 ใน 400 ปี หมายถึงเฉพาะในภูมิภาคที่ศึกษาเท่านั้น และสิ้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะใช้เวลาอีก 400 ปี จนกว่าส่วนอื่นๆ ของยุโรปหรือของโลก จะเห็นสภาพอากาศที่คล้ายคลึงกัน

"ในกรณีแบบนี้สำหรับปีหน้าอาจจะแย่ยิ่งกว่านี้ เพราะหากมีแนวโน้มถึงภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นในปีหน้ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม แต่อย่างไรแล้วก็ตามโดยพื้นฐานแล้วนี่คือฝนตกหนักใน 400 ปี" ฟาน อาลสต์ กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

• Climate change : กรกฏาคม 2021 อุณหภูมิโลกเฉลี่ย ร้อนที่สุดในรอบ 142 ปี
• หลุดเอกสารลับ ชี้วิกฤต โลกร้อน อาจเป็นหายนะต่อมนุษย์เร็วขึ้น แก้ไขไม่ทัน
• ปี 2564 (2021) ร้อนระอุ คาดภาวะโลกร้อนจะอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จากปริมาณน้ำในแม่น้ำอาร์ (Ahr) และแม่น้ำเอฟท์ (Erft) ของประเทศเยอรมนี รวมไปถึงน้ำในแม่น้ำมิวส์ (Meuse) ของประเทศเบลเยียม ได้ทำลายสถิติปริมาณน้ำในแม่น้ำไปอย่างท่วมท้นกว่าที่ผ่านๆ มา ซึ่งรวมไปถึงบางส่วนของฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก และสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีปริมาณน้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้นเช่นกัน สิ่งนี้เป็นอิทธิพลมาจากอุณหภูมิโลกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากภาวะโลกร้อน

ฟรีดเดอริก อ็อตโต (Friederike Otto) รองผู้อำนวยการสถาบันการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า "อุทกภัยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ไม่ปลอดภัยจากผลกระทบที่รุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นี่เป็นความท้าทายที่เร่งด่วนระดับโลก"

นักวิทยาศาสตร์ดูบันทึกสภาพอากาศและใช้การจำลองด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อเปรียบเทียบภาพในปัจจุบัน โลกที่ร้อนกว่า 1.2 องศาเซลเซียส กับโลกในช่วงปลายทศวรรษ 1800 ยุคก่อนอุตสาหกรรม

โดยค้นพบว่า เมื่อโลกมีอุณหภูมิที่สูงยิ่งขึ้น จะพบกับเหตุการณ์ฝนตกที่รุนแรงขึ้นและถี่มากยิ่งขึ้น หากอุณหภูมิสูงขึ้นกว่า 2 องศาเซลเซียส ก่อนยุคอุตสาหกรรม ความรุนแรงของฝนในหนึ่งวันจะเพิ่มขึ้นจาก 0.8% เป็น 6%

ศ.ดร.มาร์เท่น ฟาน อาลสต์ กล่าวว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ น่าจะเป็น "เครื่องเตือนภัย" ให้แก่รัฐบาลต่างๆ เตรียมความพร้อมในการรับมือปรากฎการณ์ภัยพิบัติจากสภาพอากาศที่รุนแรง อาคารและบ้านเรือนต้องถูกสร้างเพื่อให้มั่นใจได้ว่าครอบครัวที่คุณรักจะปลอดภัยจากน้ำท่วมหรือไฟไหม้

"ผมหวังว่า นี่จะไม่ใช่แค่การเตือนภัยสำหรับผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้ไม่กี่คน แต่รวมไปถึงคนอื่นๆ อีกมากมายอีกด้วย เพราะภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก สิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าที่ใด เรากำลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่รุนแรงมากและยังหลากรูปแบบอีกด้งบ สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือ ลดการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก ลดภาวะโลกร้อน และสิ่งสุดท้ายคือเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสภาพอากาศที่รุนแรงยิ่งกว่านี้" ฟาน อาลสต์ กล่าว

ผลการศึกษายอมรับว่า สภาวะต่างๆ ได้ทำให้ความรุนแรงของน้ำท่วมแย่ลง จากการที่มีภูมิประเทศเป็นพื้นที่หุบเขาแคบและภูเขาสูงชันทำให้เกิด "รูปทรงกรวย" ประกอบกับดินมีความอิ่มน้ำสูง ทำให้ปัจจัยเหล่านี้ถูกนำมาพิจารณาร่วมในแบบจำลอง "น้ำท่วมรุนแรง" ด้วย

นอกจากฝนตกหนักในรอบ 400 ปีและน้ำท่วมแล้ว ปีนี้ 2021 ซีกโลกเหนือยังประสบกับฤดูร้อนที่ทำลายสถิติอีกด้วย จนเป็นเหตุให้เกิดไฟป่าในหลายพื้นที่ อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ไซบีเรีย แอลจีเรีย และยุโรปตอนใต้ เช่น กรีซ และอิตาลี

รวมไปถึง เหตุการณ์ฝนที่ตกบนยอดเขากรีนแลนด์ เมื่อวันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่าน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ยอดกรีนแลนด์มีฝนตก เนื่องจากอุณหภูมิที่นั่นโดยปกติแล้วเมื่อฝนตกลงมาจะกลายเป็นหิมะเพราะอากาศที่หนาวเย็น แต่ในปีนี้มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเยือกแข็ง ทำให้น้ำฝนกว่า 7 พันล้านชะโลมไปทั่วแผ่นน้ำแข็ง