เคยรู้สึกกันไหม ไม่ว่าจะฤดูไหน ๆ อากาศบ้านเราก็ร้อนอยู่ดี แถมดีกรีความร้อนก็เพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปีอีกด้วย สาเหตุสำคัญก็เพราะปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก
หากย้อนดูรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) จะพบว่า ระหว่างปี ค.ศ. 2011-2020 ถือเป็นทศวรรษที่ร้อนที่สุด โดยระหว่างปี ค.ศ. 2015-2020 ที่ผ่านมา ยังเป็นช่วง 6 ปีที่ร้อนที่สุดของโลก และยังมีการคาดการณ์ว่า ในอนาคตโลกยังคงจะร้อนขึ้นได้อีกอย่างน้อยปีละ 1 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว
ปัจจัยหลักที่ทำเกิดภาวะโลกร้อน มาจากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศของโลกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ที่ดักจับความร้อนเก็บไว้บนโลก ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมธรรมชาติ การปล่อยของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมไปถึงการเดินทางขนส่งต่าง ๆ ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติอย่างที่เรากำลังเผชิญทุกวันนี้
นี่จึงกลายเป็นวาระสำคัญระดับโลก ที่นานาประเทศต่างก็พยายามหาทางออกของปัญหาร่วมกัน ไม่ใช่เพียงแค่การรณรงค์ หรือมาตรการควบคุมเฉพาะส่วน แต่เป็นการกำหนดนโยบายด้านพลังงานไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเราเองก็สามารถช่วยได้ด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น การปิดไฟดวงที่ไม่ใช้ พกถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติก ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รีไซเคิลของที่ไม่ใช้แล้วให้มากขึ้น และวิธีอื่นๆ อีกมากมาย
แต่วิธีการหนึ่งที่ให้ส่งผลต่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างชัดเจน ก็คือ การลดและงดใช้ยานยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมัน หรือก๊าซ และเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแทน ซึ่งจะเป็นหนทางที่พาประเทศไทยเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งไทยเราได้ตั้งเป้ามุ่งหน้าพาประเทศลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจก ไว้ที่ 20% ภายในปี 2573
รวมทั้งยังส่งเสริมให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น เพื่อลดปัญหารถติด ลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และมลพิษทางอากาศที่ย่ำแย่ ที่ทำให้ไทยติดอันดับด้านความเสี่ยงและความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในอันดับ 9 ของโลก
“MINE BUS” รถบัสโดยสาร ที่ได้ถูกพัฒนาให้ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% โดยกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA คือหนึ่งตัวอย่างของการเดินหน้าปรับเปลี่ยนรถบัสสาธารณะสู่การใช้พลังงานสะอาด ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ของโลกอนาคต ภายใต้แนวคิดที่ต้องการเพิ่มทางเลือกในการช่วยลดการใช้พลังงานน้ำมันแบบเดิม ๆ โดยไม่สร้างผลกระทบและปล่อยมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
โดยดีไซน์ของเจ้ารถบัสโดยสารพลังงานไฟฟ้า “MINE BUS” คันนี้ ก็ได้ถูกออกแบบให้เป็นมิตรต่อผู้โดยสารทุกคน ในลักษณะรถชานต่ำ รองรับผู้พิการที่ใช้รถวีลแชร์ รวมไปถึงเด็กและผู้สูงอายุ ก็สามารถขึ้น-ลงได้ง่าย ไม่มี สเต็ปทางเดินของช่วงห้องโดยสารที่สูงเกินไป แถมภายในห้องโดยสารยังกว้างขวาง ไม่ว่าจะระยะห่างระหว่างเบาะนั่ง หรือช่องทางเดิน ก็ไม่รู้สึกอึดอัด สำหรับใครที่ใช้มือถือเพลินจนแบตหมด ก็มีช่องเสียบ USB ให้บริการระหว่างเดินทาง
ส่วนเรื่องสมรรถนะการขับเคลื่อนนั้น ก็หายห่วง สามารถวิ่งได้ต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ ในทุกสภาพถนน ทุกสภาพการจราจร และทุกสภาพอากาศ โดยไม่ก่อให้ก่อให้เกิดมลพิษ ปลอดภัยและไว้วางใจได้ ไม่น้อยหน้ารถเมล์เชื้อเพลิงดีเซลและ NGV โดยสามารถวิ่งได้มากถึง 300 กิโลเมตร และประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่ารถ NGV ทั่วไปถึง 77%
ปัจจุบัน รถบัสโดยสารพลังงานไฟฟ้า “MINE BUS” ได้ประกอบแล้วเสร็จกว่า 100 คัน โดยบริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานประกอบรถโดยสารไฟฟ้า ของกลุ่ม EA และจะเริ่มทยอยส่งมอบได้ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้
โดยโรงงานประกอบรถโดยสารไฟฟ้าแห่งนี้ ยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง ซึ่งแล้วเสร็จไปประมาณ 90% และหลังจากที่โรงงานก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ จะมีกําลังการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าอยู่ที่ปีละ 3,000 คันต่อปี โดยมีการนําเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศมาประกอบร่วมกับชิ้นส่วนสำคัญที่ออกแบบและผลิตในประเทศกว่า 50% โดยใช้กระบวนการผลิตแบบใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยในการควบคุมการผลิต พร้อมทั้งมีกระบวนการทดสอบมาตรฐานการขับเคลื่อน และรองรับการผลิตรถได้หลายประเภท เช่น รถตู้, รถโดยสาร และรถบรรทุก เป็นต้น ทั้งนี้ รถโดยสารไฟฟ้าดังกล่าวที่ผลิตโดย บริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด จะผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญของในเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการค้าเสรี ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนทางด้านภาษีอากร
น่าดีใจที่เราได้เห็นหน่วยงานภาคเอกชนเห็นความสำคัญของปัญหาโลกร้อน ที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราทุกคน และลงมือแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ที่จะช่วยคืนคุณภาพอากาศที่ดีสู่สังคมไทย