อิตาลี - อังกฤษ เปิดเส้นทางยูโร 2020 รอบแรกจนถึง "รอบชิงชนะเลิศ" โดยเกมรอบ Final จะมีขึ้นในวันที่ 11 ก.ค. 64 เวลา 02.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) มาดูกันว่าโมเมนต์แต่ละรอบของทั้งสองทีมฝ่าฟันอะไรมากันบ้าง
พลพรรค "อัซซูรี" ผ่านรอบคัดเลือกในฐานะแชมป์กลุ่ม J ด้วยผลงานระดับมาสเตอร์พีช แข่ง 10 นัด ชนะรวดมี 30 แต้มเต็ม แต่กระนั้น "อิตาลี" ก็ยังถูกมองข้ามจากภาพรวมของทีมที่ห่างหายจากการเข้ารอบลึกรายการเมเจอร์มาตลอดหลายปี
11 มิ.ย. 64 เกมเปิดสนามยูโร 2020 ทีมชาติอิตาลี ภายใต้การคุมทัพของ โรแบร์โต้ มันชินี่ เดบิวท์ด้วยผู้เล่น 11 คนแรกหน้าใหม่ อาทิ เลโอนาร์โด สปินาซโซล่า, นิโคโล่ บาเรลล่า, มานูเอล โลคาเทลลี่ หรือแม้แต่แข้งระดับซีเนียร์อย่าง จอร์โจ คิเอลลินี่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ หรือ จอร์จินโญ่ ก็ยังไม่ได้รับความเชื่อมั่นว่าจะพาทีมไปไกลได้แค่ไหน
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์เกมดังกล่าว อิตาลี ถล่ม ตุรกี ยับเยิน 3-0 พร้อมเสียงชื่นชมการเล่นที่มีระบบ เกมรับเหนียวแน่น เกมรุกดุดัน แถมมีทีเด็ดจากตัวจี๊ดอย่าง ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ ทั้งหมดทำให้หลายคนเริ่มจับตามองอิตาลีมากขึ้น
ความร้อนแรงของพวกเขายังต่อเนื่องในเกมถัดมาที่เอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 3-0 ก่อนจะมาเฉือนเวลส์ 1-0 ผ่านเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ทำเอาบรรดาแฟนบอลอัซซูรี โดยเฉพาะรุ่นเก่าแก่ที่ห่างหายจากความสำเร็จไปนานเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้ง
เกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย อิตาลี โคจรมาพบกับ ออสเตรีย บททดสอบรอบลึกหนแรกมาแล้วว่าทีมจะทำผลงานได้ดีขนาดไหน รูปเกมครึ่งแรกจนถึง 90 นาที อึดอัดเสมอ 0-0 ตามสไตล์บอลนัดเดียวตกรอบ
ก่อนที่สองโจ๊กเกอร์อย่าง เฟเดริโก เคียซา ปีกจาก ยูเวนตุส จะซัดประตูนำ 1-0 ในนาทีที่ 95 และถัดมาในนาทีที่ 105+1 มัตเตโอ เปสซินา ห้องเครื่องจากอตาลันต้า จะมาบวกเพิ่มให้ทีมนำห่าง 2-0 และแม้จะโดนตีตื้น 2-1 ช่วงท้ายแต่ก็ยันไว้ได้และเอาชนะผ่านเข้ารอบในที่สุด
"ของแข็งคือรอบนี้" ประโยคเด็ดที่แฟนบอลโฟกัสว่าอิตาลีจะผ่านรอบ 8 ทีมได้หรือไม่ เพราะคู่แข่งของพวกเขาคือทีมเต็งอย่าง "เบลเยี่ยม" รูปเกมแมตช์ดังกล่าวออกมาสนุกสมใจแฟนบอลเพราะเดินหน้าบุกแรกหมัดกันนัวตั้งแต่นาทีแรก ซึ่งความเด็ดขาดและดุดันในแผงเกมรุกของอิตาลีหวดเบลเยี่ยมหงายท้องเอาชนะไป 2-1 ด้วยประตูจาก นิโคโล่ บาเรลล่า และท่าไม้ตาย "ปั่นโค้งๆ" จาก ลอเรนโซ่ อินซินเญ่
เส้นทางของพวกเขาไม่เคยง่ายในรอบรองชนะเลิศต้องดวลกับ "สเปน" นี่คือทีมที่แข็งแกร่ง และดีกรีระดับแชมป์เปี้ยนส์ เกมนี้พวกเขาไม่มี "เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า" แบ็กซ้ายตัวเก่งที่เจ็บเอ็นร้อยหวายฉีกและต้องลาเพื่อนกลับบ้านก่อน
เกมนี้ โรแบร์โต้ มันชินี่ หยอด "เฟเดริโก้ เคียซ่า" โกลเด้นบอยของพวกเขาลงตัวจริง และก็ไม่ทำให้ผิดหวังเจ้าตัวซัดประตูออกนำในนาทีที่ 60 และเกือบจะเป็นประตูชัยแต่ไม่วายเจอทีเด็ด อัลบาโร่ โมราต้า ที่รายการนี้ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้โลกรู้ซัดตีเสมอก่อนวิ่งแหกปากคล้ายว่า "โมเมนตั้ม" มาฝั่งข้าแล้วโว้ยยย
แน่นอนว่าโมเมนต์ก่อนดวลลูกโทษมีการเล่นสงครามจิตวิทยาจากกัปตันทีมจอมเก๋าอย่าง จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ที่ตีลูกบ้าหัวเราะร่าใส่ ฆอร์ดี้ อัลบา และแม้คนแรกอย่าง มานูเอล โลคาเตลลี จะพลาดแต่พระเอกตัวจริงอย่าง "จานลุยจิ ดอนนารุมม่า" ก็เซฟคืนจนพาทีมล้มสเปนเข้าไปรอชิงชนะเลิศแบบไร้ข้อครหา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ส่วนทีมมหาชนอย่าง "อังกฤษ" ผ่านรอบคัดเลือกมาในนามแชมป์กลุ่มด้วยผลงาน ชนะ 7 แพ้ 1 ก่อนเจอเสียงวิจารณ์การเรียกตัว 26 ผู้เล่นลุยศึกยูโร 2020 ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่ตัดดาวดัง อาทิ อารอน วาน บิสซาก้า, เมสัน กรีนวูด หรือแม้แต่คำค่อนขอดว่า "ขี้กลัว" จากการเรียกกองหลังมามากเกินจำเป็น
เกมเปิดหัว ยูโร 2020 พลพรรค "ทรี ไลออนส์" เฉือนเอาชนะ โครเอเชีย ไปแบบหืดจับ 1-0 นั่นทำให้เกิดความสงสัยในระบบการเล่นโดยเฉพาะสื่อที่โจมตี แกเร็ธ เซาธ์เกต อย่างหนักว่ารูปเกมแบบนี้จะไปได้ไกลสักเท่าไหร่
รูปเกมของอังกฤษยังคงดำเนินแบบเดิมในอีก 2 เกมที่ เสมอ สกอตแลนด์ 0-0 และเอาชนะ สาธารณรัฐเช็ก 1-0 โดย 3 นัดมีนักเตะที่ยิงประตูอยู่รายเดียวคือ ราฮีม สเตอร์ลิง แต่นั่นก็เพียงพอทำให้พวกเขาเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม
ของจริงรอบ 16 ทีมสุดท้าย "เยอรมัน" คือก้างชิ้นโต และจากสถิติทุกอย่างข่มอังกฤษแบบไม่ให้ลืมตาอ้าปาก นักวิจารณ์ต่างเทใจให้เยอรมันที่มีระบบการเล่นน่าตื่นตา และมีดาวดังแนวรุกสุดอันตรายทั้ง โทนี่ โครส, ไค ฮาแวร์ตซ์ และโธมัส มุลเลอร์
แน่นอนว่าตลอดเกมวันนั้นที่สนามเวมบลีย์ อังกฤษ กับเยอรมัน ต่างเล่นแบบระมัดระวังจนแฟนบอลแทบไม่มีจังหวะลุ้น แต่รู้ตัวอีกทีดาวยิงขาประจำอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ก็ส่งบอลซุกก้นตาข่าย ไม่พอ แฮร์รี่ เคน ยังประเดิมประตูแรกของเขาในทัวร์นาเมนต์เป็นประตูตอกฝาโลง 2-0 พอทีมเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศในที่สุด
ถึงตรงนี้หลายคนมองออกแล้วว่าระบบของ "เซาธ์เกต" คืออะไร และยังทรงประสิทธิภาพ แนวรับแข็งแกร่งและแน่นอน การขึ้นเกมที่มีแบบแผน รวมถึงการจบสกอร์ที่ขอเพียงโอกาสแค่ครั้งเดียว ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าอังกฤษเดินเกมเพื่อเอาผลลัพธ์เป็นสำคัญโดยไม่สนวิธีการ
เมื่อความมั่นใจเริ่มมา (เพราะยิงเกิน 1 ลูก) เกมรอบก่อนรองชนะเลิศในการพบกับยูเครนจึงเป็น "ขนมกรุบ" เกมวันนั้นมีโมเมนต์สำคัญคือการลงสนามตัวจริงเกมแรกของ "เจดอน ซานโช่" ก่อนอังกฤษจะบรรเลงเพลงแข้งอัดคู่แข่งไม่ไว้หน้า 4-0 โดยเพิ่มออปชั่นลูกโหม่งเข้ามาเป็นทีเด็ดอีกอย่าง
ถึงตรงนี้หมดข้อสงสัยเกมรอบรองชนะเลิศ "อังกฤษ" มาในฐานะทีมเต็งแชมป์ที่ต้องดวลกับ "ม้ามืด" อย่างเดนมาร์ก รูปเกมออกมาสมศักดิ์ศรี "โคนม" ตบเรียกสติขึ้นนำ 1-0 จากฟรีคิกของ มิคเคล ดัมส์การ์ด ก่อนจะมาโดนทีอาวุธหลักอย่างการปาดเข้ามาให้ "สเตอร์ลิง" ชาร์จประตูเพียงแต่หนนี้ "ซิมง เคียร์" ดันแย่งซีนยิงประตูตัวเองให้สกอร์เสมอกัน 1-1
จากนั้นแฟนบอลยังได้ลุ้นต่อในเกมช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งสิ่งที่หลายคน (ไม่) คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อ ราฮีม สเตอร์ลิง ลากเลื้อยเข้าไปถูก โยอาคิม เมห์เล่ สอยล้มลงท่ามกลางเสียงประท้วงของนักเตะอารมณ์ประมาณ "จารย์! ผมไม่ได้โดนเขาเลย" แต่ไม่เป็นผล แดนนี่ มัคเคลี่ วิ่งไปดู VAR ก่อนเป่าพรวด! เป็นจุดโทษ และแม้เดนมาร์กจะได้ลุ้นเมื่อ แฮร์รี่ เคน ซัดไปติดเซฟแต่เจ้าตัวก็ไวพอจะซ้ำเข้าไปเป็นประตูชัยส่งอังกฤษทะลุรอบชิงชนะเลิศ
และนี่คือเส้นทางของ ยูโร 2020 นัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง อิตาลี - อังกฤษ ที่จะเตะกันในวันที่ 11 ก.ค. 64 เวลา 02.00 ร่วมลุ้น และเชียร์ ไปพร้อมกับคอนเทนท์กีฬาดีๆที่เรามีมาฝากทุกวันที่สปริงออนไลน์