"รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล" ตั้งคำถาม จะปล่อยให้สถานการณ์โควิดเป็นแบบนี้อีกนานเท่าไหร่? หลังวิกฤตเตียงผู้ป่วยเต็ม ระบุ ไอซียูขาดอีก 135 เตียง และเพิ่มได้อีกเพียง 35 เตียง
วันนี้ (25 มิ.ย.2564) รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊ก "นิธิพัฒน์ เจียรกุล" ระบุว่า
คณิตคิดสนุก
ระลอกแรกกรุงเทพมีไอซียูโควิดที่ใช้งานจริงได้ 200 เตียง
ระลอกสองขยายขึ้นมาได้เป็น 300 เตียง
ระลอกสามจนถึงขณะนี้เบ่งมาเกือบเต็มที่แล้วเป็น 500 เตียง ใช้ไปแล้ว 475 จึงเหลือว่าง 25 เตียง
ใน 475 เตียงนี้ เป็นผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ 300 เตียง ใช้ไฮโฟลว์หรืออุปกรณ์พยุงชีวิตอื่น 175 เตียง
ในอีก 10 วันข้างหน้า
อัตราเสียชีวิตผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ คือ 50% จะมีผู้เสียชีวิต 150 คน
ส่วนอีก 150 คนที่เหลือจะย้ายออกจากไอซียูได้หนึ่งในสาม คือ 50 คน
จะมีผู้ป่วยใช้ไฮโฟลว์หรืออุปกรณ์พยุงชีวิตอื่นอาการทุเลาออกจากไอซียูโควิดได้ร้อยละ 80 คือ 140 คน
จึงเหลือเตียงว่างเป็น 25+150+50+140 = 365 เตียง
หากมีผู้ป่วยใหม่วันละ 1,000 คน รวม 10 วัน คิดเป็น 10,000 คน
ผู้ป่วยโควิดใหม่ทุกๆ 100 คนโรคจะลุกลามจนต้องใช้ไอซียูโควิด 5 คน ดังนั้นจะต้องเตรียม 500 เตียง
ดังนั้นเตียงที่ยังขาดอยู่คือ 500-365 = 135 เตียง จะได้จากไหน
เราคงเพิ่มได้อีกเพียง 35 เตียง
ที่เหลือ 100 เตียงจะต้องไปดึงมาจากผู้ป่วยโรคอื่นที่ไม่ใช่โควิด
ถามว่าเราจะยอมให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไร หรือต้องรออิตาลีเป็นแชมป์ยูโร 2020 ในอีกกว่าสองสัปดาห์ข้างหน้าจึงเริ่มคิดเรื่องนี้
#วิกฤตโควิดระลอกสี่ #ล็อคดาวน์กรุงเทพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
• นายกฯ ยังไม่ชัด ล็อกดาวน์ กทม. 7 วัน หวั่น "เจ็บแล้วไม่จบ"
• หมอนิธิพัฒน์ หวั่นเตียง ICU ผู้ป่วย "โควิด" เต็ม คาดอีก 10 วัน ขาดแคลนเกินร้อย
• โควิดวันนี้ ติดเชื้อพุ่ง 3,644 ราย เสียชีวิต 44 ราย หายป่วยกลับบ้าน 1,891 ราย
ก่อนหน้านี้ "หมอนิธิพัฒน์" ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า
ดูเหมือนเราจะจนตรอกมีทางเลือกไม่มากแล้ว ลองพิจารณาสถานการณ์โควิดในกทม.ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนี้
1. ยอดผู้ป่วยใหม่รายวันไม่ลดลงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปเกินสี่หลัก
2. อัตราการตรวจพบเชื้อรายใหม่ในการตรวจเชิงรับ คือ ตรวจผู้ที่เข้ารับการตรวจในโรงพยาบาลทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งรัฐและเอกชน สูงกว่า 10% ทั้งๆ ที่แต่ละโรงพยายามตรวจให้น้อยเพราะไม่มีเตียงรับผู้ป่วยถ้าผลเป็นบวก
3. มีสัดส่วนผู้ป่วยเด็กมากขึ้นกว่าระลอกก่อนๆ แสดงว่าโรคระบาดซึมลึกเข้าไปในครอบครัวและชุมชน โชคดีว่ากลุ่มนี้อาการไม่รุนแรง แต่สร้างปัญหาการจัดเตรียมเตียงดูแลทั้งในรพ.หลักและรพ.สนามสำหรับเด็กอายุน้อย
4. มีสัดส่วนผู้สูงอายุและผู้มีโรคเรื้อรังเสี่ยงมากขึ้น แสดงว่าโรคระบาดซึมลึกเข้าไปในครอบครัวและชุมชนอีกเช่นกัน ทำให้การใช้เตียงในรพ.หลักติดขัด จำนวนเตียงระดับ 2 และ 3 ที่ขยายศักยภาพมาหลายรอบเหลือไม่ถึง 5% ตัวเลขผู้ป่วยอาการรุนแรง ผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิต กลับมาเพิ่มขึ้นใหม่และอาจทำนิวไฮ
ผมได้รับคำถามจากผู้ใหญ่ที่เคารพและจากสื่อมวลชนหลายแขนงว่า แล้วภาคการแพทย์จะทำอย่างไรได้บ้าง ผมตอบว่าถึงตรงนี้เราไม่สามารถเพิ่มเตียงระดับ 2 และ 3 ไปมากกว่านี้ได้แล้ว เพราะติดขัดเรื่องกำลังคน ถ้าปล่อยให้มีผู้ป่วยใหม่ที่จำเป็นต้องอยู่รพ.หลักเพิ่มขึ้นเร็ว ผู้ป่วยส่วนหนึ่งจะต้องนำไปดูแลรักษาในพื้นที่ทั่วไปที่ไม่ได้เตรียมไว้สำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด ทำให้ผู้ป่วยอื่นได้รับการบริการลดกว่ามาตรฐานมาก (เดิมลดบ้างพอรับได้) ทำให้ผู้ป่วยโควิดไม่ได้รับการดูแลเต็มที่เพราะคนและเครื่องมือติดตามไม่พอ และท้ายสุดทำให้บุคลากรและผู้ป่วยอื่นเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาล
สำหรับผมแล้วคำตอบสุดท้ายสำหรับวิกฤตโควิดระลอกสี่ คือ การล็อคดาวน์กรุงเทพอย่างน้อย 7 วัน เพื่อเร่งจัดการปัญหาค้างคา และลดปัญหาใหม่ที่จะพอกพูนเพิ่มขึ้นในสัปดาห์หน้าที่กว่ามาตรเด็ดขาดเพื่อลดการเคลื่อนย้ายของประชาชนจะเห็นผล และที่สำคัญถ้าจะทำตามที่เสนอนี้ ต้องห้ามไม่ให้คนกรุงเทพแตกรังออกต่างจังหวัดเหมือนที่เราทำพลาดมาแล้วช่วงสงกรานต์