3 ผู้พิพากษา ปฏิเสธ พัวพันสินบนโตโยต้า อดีตประธานศาลฎีกา ลั่นพร้อมให้ตรวจสอบ วอนสำนักงานศาลเร่งไขความจริง เหตุกระทบกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างร้ายแรง เผย มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว
จากกรณีคดีสินบนโตโยต้า ที่มีข้อกล่าวหาว่า อดีตประธานศาลฎีกา 2 คน และ อดีตประธานศาลอุทธรณ์ 1 คน ปรากฏชื่อเป็น 3 คนในผู้พิพากษาของศาลฎีกา ที่เว็บ Law360 รายงานข่าวและวิเคราะห์ในด้านกฎหมายของสหรัฐอเมริกา กล่าวอ้างถึงในผลการสอบสวนภายในของบริษัท โตโยต้า คอร์ป ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่น
ระบุว่าเข้าไปเกี่ยวพันกับการจ่ายสินบนก้อนโตจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) ที่จ่ายผ่านบริษัทสำนักงานกฎหมาย เพื่อให้ศาลมีคำตัดสินในทางที่เป็นคุณในเรื่องข้อพิพาททางภาษีจากการนำเข้ารถโตโยต้า พรีอุส ระหว่างปี 2555-2558 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โตโยต้า (ประเทศไทย) จ่ายภาษีและค่าปรับกว่า 11,000 ล้านบาท เมื่อประมาณปี 2563
2 ผู้ถูกพาดพิง เเจ้งความต่อกองบังคับการกองปราบปราม เพื่อให้ทำการสอบสวนหาผู้กระทำผิด
โดยเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 นายดิเรก อิงคนินันท์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา อดีตประธานศาลฎีกา คนที่ 42 ช่วงปี 2556-2558 พร้อมด้วย นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม อดีตประธานศาลอุทธรณ์ 2 ผู้พิพากษา ที่ถูกพาดพิงจากเว็บไซต์ต่างประเทศ (www.law360.com) ซึ่งติดตามการสอบสวนในต่างประเทศเกี่ยวกับคดีภาษีของบริษัทในเครือโตโยต้า กล่าวหาว่า มีการจ่ายสินบนผ่านสำนักงานกฎหมายเเละปรากฏรายชื่อว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ได้เดินทางมาเเจ้งความต่อกองบังคับการกองปราบปราม เพื่อให้ทำการสอบสวนหาผู้กระทำผิดแล้ว เพราะเป็นข่าวที่ ”ทำลายความเชื่อถือศรัทธาศาลสถิตยุติธรรมไทย”
นายดิเรก กล่าวว่า คดีดังกล่าวจะมอบหมายให้พนักงานสอบสวน บก.ป. พิจารณาเรื่องการดำเนินคดีและข้อหาต่างๆ เบื้องต้นมองว่า เป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และขอปฏิเสธข่าวกรณีถูกพาดพิงว่าเข้าไปมีส่วนร่วมในการรับสินบนโตโยต้า โดยยืนยันว่าคดีดังกล่าวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ เพราะพ้นจากตำแหน่งไปก่อนที่คดีดังกล่าวจะมีคำพิพากษาทั้ง 2 ศาล
โดยขณะนั้นตนอยู่ในช่วงปลายของการดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา และไม่ได้พิจารณาหรือเกี่ยวข้องกับคดี หรือวิ่งเต้นต่างๆ ข่าวดังกล่าวทำให้ได้รับความเสียหายอย่างมาก เพราะไม่ได้ทำผิดและรับสินบน
ขณะที่ ศ.พิเศษ ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า "ผมเป็นผู้อภิปรายว่าบริษัทโตโยต้าควรจะเป็นฝ่ายแพ้คดี และเมื่ออภิปรายจบที่ประชุมใหญ่ของศาลฯ จึงลงคะแนนหลังจากพิจารณาจากสำนวนคดีจากทั้งหมดประมาณ 70 คน ในจำนวนนี้ 60 คนเห็นด้วยให้บริษัทโตโยต้าแพ้คดี และเสียงส่วนน้อยจำนวน 10 เสียงเห็นว่าควรจะให้บริษัทโตโยต้าชนะคดีในชั้นพิจารณาของศาลอุทธรณ์”
“ไสลเกษ” ลั่นต้องเร่งสอบ
ส่วน นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ อดีตประธานศาลฎีกา คนที่ 45 ช่วงปี 2562-2563 และเป็น 1 ในผู้ที่มีรายชื่อที่เตรียมจะเข้าแจ้งความกับเว็บไซต์ที่เผยแพร่ดังกล่าวได้ให้สัมภาษณ์กับ กรุงเทพธุรกิจ ดังนี้
“ข้อกล่าวหาในคดีนี้ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของศาลสูงของไทย และไม่เคยปรากฏมาก่อนในกระบวนการยุติธรรมว่า จะมีบริษัทเอกชนจ้างสำนักงานกฎหมายเอกชนมาจ่ายสินบนผู้บริหารศาลในระดับสูงถึง 3 คน ซึ่งถือว่ากระเทือนต่อภาพลักษณ์ ความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนและต่างประเทศ
“ผมจึงเสนอว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เกี่ยวพันกับผู้พิพากษาที่เกี่ยวพันเท่านั้น หากแต่สำนักงานศาลยุติธรรมต้องไปพิจารณาว่าจะมีกระบวนการอย่างไรในการพิจารณาสอบสวนเรื่องนี้และทำความจริงออกมาให้ปรากฏ
“ที่สำคัญสำนักงานศาลยุติธรรม จะต้องทำการเปิดเผยเกี่ยวกับคดีนี้ออกมาว่า เป็นอย่างไรให้สังคมไทยรับทราบ ส่วนว่าใครจะร่วมพิจารณาในองค์คณะสอบสวนไม่ใช่ปัญหา สาธารณชนแยกแยะ แต่ต้องหาข้อเท็จจริงออกมาให้ได้ว่ามันเข้าตรงไหน ถ้าเกี่ยวพันกับใครก็สอบไปเลยไม่ต้องวิตกเพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันทั้งองค์กร"
เสนอให้ ปปช. - ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน
นอกจากนี้สำนักงานศาลยุติธรรม ควรดึงเอาหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดมาบูรณาการในการสอบสวนทางคดี เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งน่าจะช่วยในการสอบเส้นทางการเงินว่ามีการจ่ายจริงให้ใครหรือไม่ จะได้เคลียร์ในเรื่องกระบวนการยุติธรรม
นายไสลเกษ กล่าวว่า การกล่าวหาว่าผู้พิพากษาถูกยัดสินบน 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 590 ล้านบาท) และ จ่ายอีก 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 927 ล้านบาท) ตามข่าวนั้นไม่น่าเป็นจริง ไม่น่าจะมีใครในระบบศาลสูงจะทำได้ และตนก็ไม่รู้ว่าใครจะบ้องตื้นมาจ่ายเงินให้ก่อนที่จะรู้ว่าคำตัดสินชั้นอุทธรณ์จะออกมาแบบไหน
“ผมมองอีกมุมหนึ่งในฐานคนที่ทำงานด้านการพิจารณาตัดสินคดีความและกระบวนการยุติธรรมมาทั้งชีวิต ข้าราชการ พนักงานบริษัทเอกชน คนไหนที่เข้าไปเกี่ยวพันกับคดีแบบนี้ล้วนเข้าข่ายที่จะต้องถูกตรวจสอบได้หมด ผมคนหนึ่งด้วย ผมยอมรับการตรวจสอบ และผมก็อยากรู้ว่า ถ้าไม่มีมูลนั้นคุณทำเพราะอะไร สังคมจะได้เข้าใจ เพราะนี่คือการทำลายล้างศาลยุติธรรมไทย”
นายไสลเกษ เสนออีกว่า ในกระบวนการทำงานนั้นสำนักงานศาลยุติธรรม สามารถขอความเห็นชอบในการดำเนินการในเรื่องนี้ เพื่อให้มีอำนาจเต็มจากสำนักงานคณะกรรมการตุลาการศาลก็ได้ และในวิธีการทำงานก็ควรเปลี่ยนจากปกติที่ศาลจะใช้อำนาจแบบเงียบๆ ทำอะไรไปไม่ค่อยจะพูดมากในการพิจารณาคดี ปล่อยให้ผลของการพิจารณาคดีเป็นตัวอธิบายต่อสังคม
“แต่กรณีนี้ใช้แบบนั้นไม่ได้ ผู้คนในประเทศมีความสงสัย ผมก็สงสัย ต่างประเทศก็สงสัย จึงต้องเปิดเผยในการทำคดีแบบนี้ให้สังคมทราบ ผมเห็นว่าคดีสาธารณะแบบนี้ เปิดเผยให้ทุกคนทราบได้ ผมเห็นว่าไม่ขัดกฎ”
แจงเข้าหลักเกณฑ์อนุญาตฎีกา
สำหรับเรื่องข้อเท็จจริงแห่งคดีนั้น นายไสลเกษ บอกว่า ประเด็นแห่งคดีได้รับทราบจากสาธารณะ และเมื่อปรากฏเป็นข่าว แต่ได้ผ่านตามา เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่มีความเห็นแตกต่างในการตัดสินคดีของ 2 ศาล ซึ่งบททั่วไปในคดีแพ่งให้จบที่ 2 ศาล ยกเว้นคู่ความขออนุญาตต่อศาลฎีกาอีกครั้ง ศาลฎีกาจะอนุญาตไม่อนุญาตก็มีเงื่อนไข หลักเกณฑ์บังคับไว้เป็นหลักการชัดเจนว่าเข้าข่ายอะไรบ้าง และสาธารณะชนก็รับรู้ เช่น 1.การพิจารณาของ 2 ศาลไม่เหมือนกัน ก็เข้าหลักเกณฑ์
2. ความสำคัญของเรื่องที่จะต้องพิจารณาในคดีนั้น เคยมีคดีที่เป็นบรรทัดฐานการพิจารณาแล้วหรือไม่ ถ้ามีก็ตกไป ถ้าไม่มีก็ต้องนำมาพิจารณา ปรากฏว่าเรื่องนี้ไม่เคยมีบรรทัดฐานปมปัญหาข้อตกลงทางการค้า JTEPA ไม่เคยมีข้อตัดสินแม้เคยมีข้อพิพาทแต่ไม่เคยเข้าสู่การพิจารณาของศาลสูง
“ผมเข้าไปเกี่ยวพันในตอนนี้โดยตรง เพราะเรื่องมาที่ประธานศาลฎีกาให้สั่งจ่ายคดีในคดีภาษีอากร คดีล้มละลาย คดีทรัพย์สิน ผมก็ใช้ดุลพินิจจ่ายคดีตามหลักเกณฑ์ หลังจากนั้นคดีนี้ก็หลุดไปจากมือผม ไปสู่แผนกภาษีอากรพิจารณา ซึ่งผมจ่ายคดีนี้แหละน่าจะถูกต้อง แต่ถ้าไม่จ่ายคดีสิ ผมน่าจะมีมลทินมากกว่า เพราะความแห่งการพิจารณาของศาลฎีกามันครบหลักเกณฑ์
“อีกกรณีหนึ่งที่อยากให้สังคมพิจารณากันคือ ตามวัตรปฏิบัติของระบบศาลนั้นมันเข้มมาก หากมีใครสักคนไปแอบอ้างว่าต้องสั่งผู้พิพากษาคนนี้คนนั้น เพราะคนนี้รู้จักมันไม่ได้ ผู้พิพากษาแต่ละคนจะไม่รู้ จะรู้แต่เฉพาะคดีที่เราทำ ถ้าใครไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นจะมีปัญหาในหน้าที่การงาน พวกเราในศาลจึงระมัดระวังในวัตรปฏิบัติมาก
“ประเด็นนี้ทางสำนักศาลสูงต้องอธิบายขั้นตอน หลักเกณฑ์การทำงานของศาล การจ่ายคดีให้ประชาชนได้รับรู้ ซึ่งเปิดเผยได้ เพราะนี่คือระบบงานการทำงานของศาลยุติธรรม
“ผมแปลกใจมากในคดีนี้มากเพราะผลกระทบแห่งคดีมันรุนแรงเกี่ยวพันกับกระบวนการพิจารณาของศาลสูงของประเทศ ศาลต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง ผมสนับสนุน และจะทำหนังสือเรียกร้องไปยังศาลให้ทำเรื่องนี้ รวมถึงร้องขอให้ดึงหน่วยงานที่เกี่ยวพันกับการเงินการสวบสวนสืบเส้นทางการเงินออกมา เพราะเขามีอำนาจในการสืบเส้นทางการเงินผ่านบัญชี ผ่านอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการนำความเท็จเข้าสู้กระบวนการทำลายล้าง”
ยันไม่เคยพบ 2 ผู้พิพากษา
นายสไลเกษ กล่าวอีกว่า คดีนี้ถ้าดูจากช่วงเวลาแล้ว ขณะที่บริษัทโตโยต้า (ประเทศไทย) ยื่นขออนุญาตฏีกาหลังจากแพ้คดีในศาลอุทธรณ์ อยู่ในช่วงที่ตนใกล้เกษียณจากตำแหน่งประธานศาลฎีกาวันที่ 30 ก.ย.2563 คดีดังกล่าวเป็นเพียงชั้นขออนุญาตฎีกา มาออกฎีกากันช่วงมี.ค. 2564 การออกผลคำสั่งเมื่อไหร่อย่างไรไม่ทราบและไม่เคยอยู่ในการรับรู้
“การพิจารณาและการอนุญาตอยู่ในอำนาจของแผนก และหากได้รับอนุญาตให้ฎีกาแล้ว การพิจารณาพิพากษาก็ทำโดยแผนกภาษี คดีดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นในปลายเดือนมีนาคมหลังจากที่ตนเกษียณอายุไปนานแล้ว ช่วงที่มีข่าวนี้ก็อ่านจากสื่อมวลชนเท่านั้น”
นายไสลเกษ ระบุด้วยว่า ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาผู้พิพากษาทั้ง 2 ท่านที่ถูกกล่าวหาก็ไม่เคยมาหาหรือพูดคุยเรื่องคดีนี้เลย อย่างไรก็ตามอยากให้สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้ตรวจสอบและชี้แจงเรื่องนี้อย่างละเอียด เพราะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตัวบุคคลที่ถูกกล่าวหาเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อศาลยุติธรรมทั้งระบบ
“ในเบื้องต้นต้องขอบคุณทุกคนที่ห่วงใยสถาบันศาลยุติธรรม อยากให้ดำรงความบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริง ใครไม่สุจริตก็สมควรถูกตรวจสอบและขจัดออกไป”
ประธานศาลฎีกา ตั้งคณะทำงาน ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ส่วนความเคลื่อนไหวของสำนักงานศาลยุติธรรม เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2564 มีคำสั่งแต่งตั้ง คณะทำงานตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินการต่อข้อกล่าวหากรณีภาษีอากรที่เป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ รวม 10 คน
โดยมี นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เป็นประธานคณะทำงานฯ ซึ่งคณะทำงานชุดนั้นมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบและดำเนินการให้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างแก่สังคมและดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อเรื่องที่มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการสอบสวน กรณีภาษีของบริษัทในเครือโตโยต้าในต่างประเทศ ที่พาดพิงถึงบุคลากรในศาลยุติธรรม
ซึ่งคณะทำงานชุดดังกล่าวได้ดำเนินการส่งหนังสือขอข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกประเทศ เช่น หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายในประเทศสหรัฐอเมริกา และสำนักงานกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ตามมาด้วย นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง 4 คน ประกอบด้วยผู้พิพากษาชั้นฎีกาและชั้นอุทธรณ์ ซึ่งมีผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการฯ และมีผู้พิพากษาชั้นศาลฎีกาและชั้นศาลอุทธรณ์ เป็นกรรมการ
โดยให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการสอบสวนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น กรณีข้าราชการตุลาการถูกกล่าวหาหรือเป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย พ.ศ.2544 ออกตามความในมาตรา 68 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมฯ ให้เสร็จโดยเร็ว
นัดประชุมคณะทำงานวันที่ 7 มิ.ย.
นายอธิคม อินทุภูติ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ประธานคณะทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีข่าวสินบนคดีภาษีโตโยต้า กล่าววา เหตุผลในการตั้งคณะทำงานชุดนี้ เพราะเป็นกรณีมีข้อสงสัยว่าจะมีการกระทำผิดวินัยหรือไม่ ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อเท็จจริงเบื้องต้นเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็นการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแต่อย่างใด โดยนัดประชุมคณะทำงานในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ เพื่อกำหนดกรอบหน้าที่การทำงานและกำหนดบทบาทขอบเขตและศึกษาอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเบื้องต้นว่า คดีมีมูลตามที่เป็นข่าวปรากฏในเว็บไซต์หรือไม่
นอกจากนี้นี้ในภาคสังคมให้มีการสอบในเรื่องนี้เช่นกัน โดยพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ปปช.) ได้รับหนังสือจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม เรื่องขอให้พิจารณาสืบสอบหาข้อเท็จจริงกรณีรายงานข่าวว่า บริษัทโตโยต้า ให้สินบนผู้พิพากษาระดับสูงของศาลยุติธรรมไทย
นายรังสิมันต์ ระบุว่าคาดหวัง กมธ.ปปช.จะทำหน้าที่ตรวจสอบและหวังว่า จะได้รับการตรวจสอบประเด็นนี้อย่างตรงไปตรงมา
โตโยต้า งดแสดงความคิดเห็นระหว่างการตรวจสอบ
ด้านความเคลื่อนไหวของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จากการสอบถามพนักงานหลายรายระบุว่าไม่สามารถที่จะให้ความคิดเห็นได้ และในส่วนของพนักงานเอง ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า มีผู้บริหารคนใดบ้างที่ดูแลเรื่องนี้ ถือว่าเป็นความลับภายในบริษัทด้วย
อย่างไรก็ตาม โตโยต้ามีแถลงการณ์เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ว่า โตโยต้าดำเนินการไม่หยุดหย่อนที่ธำรงไว้ซึ่งมาตรฐานทางจริยธรรม และความเป็นมืออาชีพอย่างสูงสุด โดยให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับทุกข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าว และมุ่งมั่นที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปตามข้อกำหนดของภาครัฐที่เกี่ยวข้องทุกประการ โดยให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเนื่องด้วยกระบวนการตรวจสอบอยู่ระหว่างการดำเนินการ จึงไม่สามารถแสดงความคิดเห็นใดๆ ได้
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ไม่นาน นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัทแม่ ประเทศญี่ปุ่น กำลังดำเนินการสอบสวน
ขณะที่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของไทยในการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และยืนยันว่านโยบายของบริษัทเน้นความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ และยึดมั่นในธรรมาภิบาลเป็นสำคัญ
ที่มา '3ผู้พิพากษา' โต้สินบน 'โตโยต้า'
ภาพโดย succo จาก Pixabay
ภาพโดย mohamed Hassan จาก Pixabay