จากจุดเริ่มต้นวัคซีนโควิด-19 แก้ขัด ที่มีการนำเข้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่มียี่ห้ออื่นๆ ที่ประสิทธิภาพสูงกว่า และราคาถูกกว่ามาก แต่ทำไมรัฐบาลไทยก็ยังคงเลือก "ซิโนแวค"
ยังคงต้องรอต่อไป สำหรับ “ซิโนแวค” หลังจากองค์อนามัยโลก (WHO) ได้เลื่อนการประกาศรับรอง โดยขอให้ซิโนแวคส่งเอกสารมาเพิ่มเติม (อ่านข่าว : สื่อนอกระบุ WHO เลื่อนรับรอง วัคซีนซิโนแวค ขอข้อมูลเพิ่มเติมด้านการผลิต)
และถึงแม้ซิโนแวคจะถูกตั้งคำถามในแง่ของประสิทธิภาพ แต่ WHO ตั้งเกณฑ์พิจารณาในกรณีฉุนเฉิน ไว้ที่ประสิทธิภาพป้องกันโควิด-19 เกิน 50 % ขึ้นไป โดยการทดลองเฟส 3 ผลออกมาว่า ซิโนแวคมีประสิทธิภาพ 50.4 % แต่ผลประเมินครั้งล่าสุดของ “กลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาเชิงยุทธศาสตร์ (SAGE) ด้านการฉีดวัคซีน” ระบุว่า ซิโนแวคมีประสิทธิภาพป้องกันอาการโควิด-19 อยู่ที่ 67 %
แต่ถึงกระนั้นก็ตามที หากจะยึดประสิทธิภาพล่าสุดที่ SAGE ประเมิน ก็ถือว่าเลเวลของซิโนแวคก็ยังค่อนข้างต่ำอยู่ ยิ่งเมื่อนำไปเทียบกับวัคซีนไฟเซอร์ ที่มีประสิทธิภาพป้องกันโควิด-19 ได้สูงถึง 95 % ในราคา 600 กว่าๆ ขณะที่ซิโนแวค ราคากว่า 900 ต่อโดส และอีกหลายยี่ห้อที่ประสิทธิภาพสูงกว่า แต่ราคากลับต่ำกว่าซิโนแวคเป็นอย่างมาก
จึงก่อให้เกิดคำถามว่า แล้วทำไมรัฐบาลไทย จึงดึงดันที่จะนำเข้าซิโนแวค จนจะเปลี่ยนสถานะจากวัคซีนแก้ขัด กลายเป็นวัคซีนหลักอยู่แล้ว ! SPRiNG ขอไล่เรียงความเป็นมาของซิโนแวค ที่กำลังโลดแล่นในประเทศไทย ดังต่อไปนี้
1. เริ่มต้นจากวัคซีนแก้ขัด
เดิมที นโยบายรัฐบาลไทย คือแทงม้าตัวเดียว นั่นก็คือ มีการดีลจะซื้อวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า เท่านั้น ในจำนวน 26 ล้านโดส (ดีลแรก) แม้จะถูกทักท้วงว่าผิดหลักยุทธศาสตร์กระจายความเสี่ยง ที่ประเทศส่วนใหญ่ใช้วิธีซื้อวัคซีนอย่างหลากหลายยี่ห้อ เพราะในช่วงเวลานั้นไม่อาจรู้ได้ว่า วัคซีนของบริษัทใดจะปัง หรือแป็ก
แต่รัฐบาลไทยก็ยังคงมั่นอกมั่นใจ ประกอบกับช่วงเวลานั้น การติดเชื้อภายในประเทศ แทบจะเป็นศูนย์ ทำให้รัฐบาลไม่ฟังเสียงทักท้วงใดๆ กระทั่งเกิดการระบาดระลอกที่ 2 ช่วงปลายปีที่แล้ว ก็กลายเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลไทยต้องเปลี่ยนจากนโยบายวัคซีนยี่ห้อเดียว เป็นการหาวัคซีนแก้ขัด เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน
เพราะตามสัญญาที่ทำไว้กับแอสตร้าฯ ทางบริษัทจะส่งวัคซีนให้ไทย ช่วงกลางปี 2564 ซิโนแวคจึงโผล่ขึ้นมาเป็นทางออกในเวลานั้น โดยมีการส่งให้ไทยล็อตแรกช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
2. หลายยี่ห้อประสิทธิภาพสูงกว่า ถูกกว่า แต่ทำไมไม่นำเข้า ?
การสั่งซิโนแวคเข้ามาเป็นจำนวนมาก มีข้อสงสัยมากมาย ที่รัฐบาลไทยยังไม่สามารถให้ความกระจ่างกับประชาชนได้ จนถึงทุกวันนี้
โดยเฉพาะในเรื่องที่ว่า จากเลเวลประสิทธิภาพที่อยู่ในระดับต่ำ แต่กลับเป็นวัคซีนที่ราคาแพงเว่อร์อันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งข้อมูลของ biospace (วันที่ 23 เมษายน 2564) ระบุราคาต่อโดส ของวัคซีนต่างๆ ไว้ดังนี้ (อ่านข่าว : เทียบให้เห็นกันชัดๆ วัคซีนโควิด-19 ของแต่ละยี่ห้อ ราคาเท่าไหร่ ?)
ซิโนแวค ราคา 29.75 เหรียญสหรัฐ ต่อโดส หรือประมาณ 932 บาท
โมเดอร์นา ราคา 25 - 37 เหรียญสหรัฐ ต่อโดส หรือประมาณ 784 - 1,066 บาท
ไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทค ราคา 19.50 เหรียญต่อโดส หรือประมาณ 611 บาท
โนวาแวกซ์ ราคา 16 เหรียญสหรัฐ ต่อโดส หรือประมาณ 501 บาท
สปุตนิก วี (Sputnik V) ราคา 10 เหรียญสหรัฐฯ ต่อโดส หรือประมาณ 313 บาท
จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ราคา 10 เหรียญสหรัฐฯ ต่อโดส หรือประมาณ 313 บาท (ใช้โดสเดียว)
แอสตร้าเซนเนก้า ราคา 2.15 - 5.25 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 67 - 164 บาท
โควาซิน ราคา 2 เหรียญสหรัฐ ต่อโดส หรือประมาณ 62 บาท
ถ้าซิโนแวค ประสิทธิภาพต่ำ แต่ราคาถูก ยังพอเป็นตรรกะที่เข้าใจได้บ้างในการเลือกของรัฐบาลไทย
แต่นี่ประสิทธิภาพต่ำ แต่ราคาดันแพง จึงก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า ทำไม ?
3. มีแนวโน้ม ซิโนแวค จะกลายเป็นอีกหนึ่งวัคซีนหลัก
ถ้ายึดข้อมูลจากการทางไทย ตอนนี้มีวัคซีนซิโนแวค เข้ามาในไทยแล้ว 4.5 ล้านโดส โดยเป็นการสั่งซื้อ 4 ล้านโดส กับจีนบริจาคให้ไทย 5 แสนโดส และเดือนมิถุนายน ไทยสั่งซื้อเข้ามาอีก 1.5 ล้านโดส รวมเป็นทั้งสิ้น 6 ล้านโดส
ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า ที่ถูกวางไว้เป็นวัคซีนโควิด-19 หลักของไทย มีการส่งเข้ามาล็อตพิเศษก่อนหน้านี้ราว 1.17 แสนโดส ซึ่งในเดือนมิถุนายนที่กำลังจะถึงนี้ รัฐบาลก็ยังอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบไม่ชัดว่า แอสตร้าฯ จำนวนหลายล้านโดส จะส่งเข้ามาได้ตามดีล หรือไม่ ?
และถ้าประเมินท่าทีของรัฐบาลไทย ก็เห็นถึงความพยายามที่จะสั่งซื้อซิโนแวคเพิ่มเข้ามาอีก ประกอบกับข้ออ้างที่ว่า ได้ดีลกับบริษัทวัคซีนอื่นๆ แล้ว แต่กว่าจะได้สินค้า ก็ต้องรอไตรมาสที่ 3 - 4 ของปีนี้ (เพราะเพิ่งมาสั่ง) ตรงข้ามกับซิโนแวค สั่งไปปุ๊บ ก็พร้อมจะส่งวัคซีนมาให้ปั๊บ
ดังนั้น สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปสำหรับกรณีของซิโนแวคก็คือ จากวัคซีนแก้ขัด ที่เริ่มต้นนำเข้ามาในระดับหลักแสน สู่หลักล้าน แล้วทะยานไปสู่หลักหลายๆ ล้าน ในอนาคตจะมีการผลักดันให้ไปถึงหลักระดับสิบล้านหรือไม่ ???
ที่น่าเศร้าคือ แม้โลกนี้จะมีวัคซีนโควิด-19 มากมายหลายยี่ห้อ แต่คนไทยก็เลือกอะไรไม่ได้เลย !