ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก๊อกใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อหลังโควิด 19 ฉุดดัชนีผู้บริโภควูบศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผย ต่ำสุดรอบ 22 ปี
ใคร ๆ ต่างก็พูดว่า โควิด 19 อสรพิษร้ายทำลายล้างจริง ๆ ทำลายทั้งชีวิตผู้คน ทำลายความเป็นอยู่ เศรษฐกิจปากท้อง เศรษฐกิจไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างมากจากโควิด 19 ทำให้คนแทบไม่มีเงินในกระเป๋าในการจับจ่าย จนทำให้รัฐออกโรงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก๊อกใหม่ ซึ่งล่าสุด ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย.อยู่ที่ 46.0 ลดลงจากเดือนมี.ค.64 ซึ่งอยู่ที่ 48.5
ทั้งนี้เป็นการลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 22 ปี 7 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 40.3 จาก 42.5 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 42.9 จาก 45.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 54.7 จาก 57.7 โดยนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า คนไทยกังวลโควิดรอบ3 ทำให้ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. 2564 ต่ำสุดทุกรายการ พร้อมกันนี้ยังชี้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยไป และต้องเร่งให้เร็วขึ้น ทำให้รัฐต้องใช้ยาแรงอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก๊อกใหม่
ดัชนีผู้บริโภคแผ่ว
นอกจากโควิด 19 แล้วคนไทยยังความกังวลในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพน้อยลงและการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่ล่าช้าส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมากนักและขาดแรงกระตุ้นในการฟื้นตัว แม้ว่ารัฐจะอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก๊อกใหม่ เช่น โครงการ “เราชนะ” และโครงการต่าง ๆ จะมีส่วนช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ปรับตัวดีขึ้นทั่วประเทศในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม
ลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อ
ทั้งนี้จากการสำรวจยังพบอีกว่า ผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงย่ำแย่จากวิกฤตโควิด 19 ในประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้ อย่างไรก็ตามต้องจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก๊อกใหม่ของรัฐบาลจะช่วยให้กำลังซื้อกลับมาฟื้นตัวได้มากน้อยเพียงใด