โควิด-19ฟาดงวงฟาดงาทำหนี้ครัวเรือนไทยพุ่งสูงสุดรอบ12 ปี

มีคำโบราณกล่าวไว้ว่าไม่มีหนี้ ก็ไม่มีหน้า เพราะคนสมัยก่อนจะถือว่าการก่อหนี้ก็เพื่อให้เราได้ของบ้างอย่างมาประดับบารมี ให้เพื่อนฝูงสังคมยกย่องเชิดชู แต่ถ้ากู้มาพอดีพองามเพื่อสนองความสุขขั้นพื้นฐานของแต่ละคนก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะเป็นการกู้มาเพื่อซื้อบ้าน ซื้อรถ หรืออะไรก็ตามที่สำคัญกับการดำรงชีวิตก็ถือว่าไม่ผิดอะไร แต่หากกู้มาแล้วฟุ่มเฟือย หรือใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือกู้มาเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองสักเท่าไหร่นักตรงนี้แนะนำว่าช่วงนี้งดการก่อหนี้ก่อสินกันก่อนเพราะเงินทองในยุคโควิด -19 นั้นหายากมาก และก็ไม่รู้ว่าเราจะถูกเลิกจ้างจากงานเมื่อใด

คนไทยยังเป็นหนี้กว่า21ล้านคน แนวโน้มสูงขึ้น

ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปัจจุบันคนไทยมีหนี้ที่เป็นหนี้ในระบบมากกว่ากว่า 21 ล้านคน และมีแนวโน้มที่คนไทยจะเป็นหนี้ก็สูงขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) ระบุว่าหนี้ของคนไทยส่วนใหญ่มีแนวโน้มมาจากการบริโภค สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลมีสัดส่วนสูงถึง 34% หนี้รถมีสัดส่วน 25% ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัย (สินเชื่อบ้าน) มีสัดส่วน 40% และหนี้อื่น ๆ อีก 1%

ปี 2563 ที่ผ่านมา และปี 2564 ที่กำลังเริ่มขึ้นเป็นยุคที่คนไทยต้องต่อสู้กับโควิด -19 ทำให้คนไทยเป็นหนี้เป็นสินกันมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ก็น่าเป็นห่วงพอๆ กับการที่จะเสี่ยงว่าติดโควิด -19 หรือไม่ ? ล่าสุดมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  และศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ได้เปิดเผยว่าโควิด-19 ได้พ่นพิษกับเศรษฐกิจทำเอากระทบหนี้ครัวเรือนสูง 4.8 แสนบาทต่อครัวเรือน ขยายตัว 42% สูงสุดในรอบ 12 ปี

โดย ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ประจำเดือน ธันวาคม 2563 และสถานภาพหนี้ครัวเรือนปี 2563 และแนวโน้ม โดยระบุว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างกว่า 1 พันราย พบว่าจำนวนหนี้เฉลี่ยของครัวเรือนและการผ่อนชำระในปี 2563 พบว่ามีสุงถึง 483,950.84 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งขยายตัวสูงถึง 42.3%

โควิดพ่นพิษแถมค่าครองชีพสูงรายได้ไม่พอรายจ่ายคือสาเหตุหลัก

ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้ก่อหนี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นขาดรายได้เนื่องจากถูกออกจากงาน และรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ซึ่งหอการค้าไทยประเมินการสำรวจกลุ่มตัวอย่างดังกล่าว พบว่ายังเป็นการก่อหนี้ใหม่สูงมากกว่า 70% เป็นผลมาจากการเกิดโรคโควิด -19 เศรษฐกิจไม่ดี และมีหนี้เพิ่มเยอะขึ้น สำหรับปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาชำระหนี้กลุ่มตัวอย่างมีความเห็นว่าจะมาจากปัญหาเศรษฐกิจไม่ดี สูงถึง 72.1% รองลงมาคือ ค่าครองชีพไม่สอดคล้องกับรายได้ 59.4% รายได้ที่รับลดลง 54.8% และการแพร่ระบาดโรคโควิด -19 สูงถึง 55%

ดัชนีความเชื่อมั่นลดลงต่ำสุดรอบ 6 เดือน

อย่างไรก็ตามการสำรวจยังพบอีกว่าการก่อหนี้ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นแม้ว่าส่วนใหญ่กว่า 70% จะเป็นหนี้ก้อนใหม่และรวมถึงหนี้ก้อนเก่าและก้อนใหม่ แต่ยังพบว่าหนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นหนี้ในระบบ มีสัดส่วนอยู่ที่ 75.3% ขณะที่หนี้นอกระบบ มีสัดส่วนอยู่ที่ 24.7% ในขณะที่ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยประจำเดือน ธ.ค. 2563 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นลดลงจากระดับ 33.7 มาอยู่ที่ 31.8 ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือนนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2563 หลังจากมีการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่

สถานการณ์บ้านเมืองยังเป็นแบบนี้ไม่รู้ว่าโควิด -19 จะจบลงเมื่อใด ดังนั้นหากใครจะก่อหนี้ใหม่ เบาได้ให้เบาลงหน่อยเพราะชีวิตเรายังไม่แน่ไม่นอนว่าจะถูกเลิกจ้างตอนไหน ควรที่จะเก็บเงินไว้ใช้ในการดำรงชีพในส่วนที่จำเป็นเท่านั้น วางความสำคัญให้เป็นว่าสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน !