“วีริศ”ผู้ว่าการนิคมฯ คนใหม่ เปิดนโยบายพัฒนา กนอ. ชู 6 แผน เตรียมพร้อมดึงดูดการลงทุนในพื้นที่นิคมหลังโควิดฯ เร่งสานต่องานตามนโยบายรัฐบาล “ท่าเรือมาบตาพุด เฟส3 – นิคมฯสมาร์ทปาร์ค”พร้อมเดินหน้าพัฒนานิคมฯ เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยกระดับนิคมฯเติบโตอย่างยั่งยืน
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยถึงนโยบายการดำเนินงาน ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ.ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กนอ.ก็จะสานต่องานเดิมที่วางไว้ แต่จะมีการปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับสถานการณ์เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน และสร้างความยั่งยืนให้กับ กนอ.โดยการดำเนินงานจะแบ่งเป็น 6 กลุ่มใหญ่ที่สำคัญ ดังนี้ 1.เรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ คือ เร่งหาแนวทางการดึงดูดการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะใช้ทั้งมาตรการการตลาดและมาตรการเชิงรุกออกไปหารือกับนักลงทุนโดยตรง รวมทั้งเร่งสื่อสารทางการตลาดประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลศักยภาพของนิคมอุตสาหกรรม แก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศให้มากขึ้น
2.เร่งสานต่อนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ได้แก่ การเร่งดำเนินโครงการสมาร์ท ปาร์ค และเร่งรัดโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 ซึ่งเป็นท่าเรืออุตสาหกรรมขนส่งก๊าซ และพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีชั้นสูงที่สำคัญ โดยทั้ง 2 โครงการนี้ ถือได้ว่าเป็นโครงการหลักที่สำคัญในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ในส่วนของโครงการนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนที่สำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะนิคมฯ ชายแดนที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กนอ. ได้แก่ นิคมฯ สระแก้ว นิคมฯ สงขลา กนอ.ต้องเร่งดำเนินการดึงดูดการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย และจัดทำแผนการตลาดที่เหมาะสม ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยอดการส่งออกสินค้าชายแดนเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
3.แผนลดความเสี่ยงในทุกด้านที่จะกระทบต่อการดำเนินกิจการในนิคมฯ ของ กนอ. โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำและพลังงาน ซึ่งจะต้องมีเพียงพอทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยคำนึงถึงสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่างๆ เช่น การจัดทำแผนงานและแนวทางการบริหารแหล่งน้ำดิบให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า การหาและสร้างระบบจัดเก็บแหล่งน้ำดิบ สำรอง การส่งเสริมระบบเก็บน้ำฝนของอาคารและสถานประกอบการ การส่งเสริมระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ (Water Recycle) และการทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด เป็นต้น ซึ่งแนวทางเหล่านี้บางส่วนที่ กนอ.ดำเนินการเองได้ก็จะเร่งผลักดันอย่างเต็มที่ แต่บางมาตรการอาจต้องใช้เงินลงทุนสูงก็มีแผนที่จะร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรที่เชี่ยวชาญเรื่องน้ำเข้ามาร่วมลงทุน
นายวีริศ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้า โดยจะเร่งจัดหาพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพอในระยะยาว มีระบบสำรองและเทคโนโลยีในการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นจนส่งผลต่อการจ่ายกระแสไฟฟ้า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการโดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมชั้นสูงที่ต้องการกระแสไฟฟ้าที่มีคุณภาพ มีความเสถียรสูง รวมทั้งการจัดหาพลังงานทางเลือก เช่น การผลิตไฟฟ้าจาก Solar Floating หรือการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ ซึ่งเดิมมีการดำเนินการไปแล้ว แต่จะทำให้ยั่งยืนขึ้นด้วยการเปลี่ยนวัสดุที่สามารถแช่น้ำได้นานเป็น 10 ปี โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ กนอ.อาจจะขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าในพื้นที่นิคมฯ ที่สนใจพลังงานสะอาด ซึ่งจะนำไปสู่เรื่องการทำเรื่อง Carbon Credit ต่อไป
“กนอ.จะต้องลงทุนในระบบเพื่อให้การจ่ายกระแสไฟฟ้ามีคุณภาพสูงสุด ป้องกันความเสี่ยงด้านต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เหมือนเหตุการณ์เมื่อเร็วๆนี้ ที่เกิดฟ้าผ่าบริเวณใกล้สายส่งทำให้เครื่องจ่ายไฟฟ้าของหน่วยผลิตไฟฟ้าของบริษัทหยุดทำงาน เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังโรงงานต่างๆ ในนิคม”นายวีริศ กล่าว
4.สิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด โดยมีแผนจัดหามาตรการสิทธิประโยชน์สนับสนุนให้กับโรงงานที่มีการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม มีการดำเนินการที่ดีมายาวนาน ซึ่งจะต้องเป็นสิทธิประโยชน์ที่จับต้องได้จริง โดยจะเข้าไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กรมสรรพากร และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อจัดทำสิทธิประโยชน์ให้กับโรงงานที่ได้มาตรฐานในระดับสูง ส่วนโรงงานที่ดำเนินการไม่ถูกต้องและปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมจะต้องมีมาตรการกำกับดูแลที่ชัดเจน ซึ่งมาตรการทั้ง 2 ด้านนี้จะดึงดูดให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
นายวีริศ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีแผนที่ 5.สำหรับสร้างความก้าวหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับ กนอ. โดยขณะนี้มีแผนที่จะหาช่องทางในธุรกิจใหม่ๆ (New Business) เช่น การตั้งบริษัทลูก หรือร่วมทุนในธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และเป็นการบริหารสินทรัพย์และบุคลากรให้มีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากขึ้น โดยสามารถขยายไปสู่การผลักดันให้บริษัทลูกเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้เกิดการระดมทุนและพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ให้เติบโตอย่างรวดเร็ว สร้างรายได้ระยะยาวให้กับ กนอ.
และ 6.พัฒนาบุคลากรโดยการเสริมศักยภาพด้านต่างๆ การที่ กนอ.จะพัฒนาไปสู่เป้าหมายเหล่านี้ได้ กำลังคนที่มีคุณภาพจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ดังนั้น จึงมีแผนการ พัฒนาศักยภาพพนักงานของ กนอ. ให้มีศักยภาพเพิ่มในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านไอที ระบบดิจิทัล และแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่ เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี รวมทั้งการพัฒนาด้านภาษาให้กับพนักงาน ที่ควรจะสื่อสารภาษาที่ 3 ได้ นอกจาก ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพราะนักลงทุนในนิคมฯ มาจากต่างชาติทั่วโลก ดังนั้นหากมีทักษะทางภาษาที่ดี ก็จะช่วย ยกระดับการให้บริการที่ดีขึ้น โดยมีแผนที่จะจัดฝึกอบรม online ให้พนักงานพัฒนาศักยภาพของตัวเอง และส่งไปฝึกอบรม นอกองค์กร รวมทั้งจะมีมาตรการอุดหนุนที่เหมาะสม ให้เหมาะสมกับศักยภาพที่เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นแรงจูงใจให้กับพนักงานใน การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง.