นับว่าเป็นหุ้นมหาชนก็ว่าได้สำหรับหุ้น OR ที่นักลงทุนรายย่อยต่างแห่จองกันสุด ๆ พรุ่งนี้ 2 ก.พ. 2564 จองวันสุดท้ายแล้ว มาลุ้นกันว่ายอดจองจะทะลุ1ล้านรายหรือไม่ ?
จะว่าไปแล้วการลงทุนในช่วงนี้สิ่งที่มนุษย์เงินเดือน นักธุรกิจ อาชีพอิสระ หรือคนที่สนใจการลงทุนสนใจมากสุดเรื่องหนึ่งเห็นทีจะเป็นเรื่องการลงทุนในหุ้นบริษัทปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่เปิดจองซื้อมาตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค.2564 ที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างมากจนมีคนบอกว่ากลายเป็นหุ้นมหาชนไปแล้ว และจะปิดจองในวันพรุ่งนี้ 2 ก.พ. 2564 ในเวลา 12.00 น. พร้อมกันนี้ยังมีคาดการณ์ว่านักลงทุนอาจแตะ 1 ล้านรายได้ ต้องมาลุ้นพรุ่งนี้อีกที
ในขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์ฯมีความเป็นห่วงว่าจะมีจำนวนทรานแซกชั่นการซื้อขายเยอะกว่าปกติจึงต้องปรับระบบเพิ่มเติมเพิ่มรองกรับทรานแซกชั่นที่มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว โดยหากมีจำนวนมากระดับแสนคนหรือไปถึงล้านคนระบบของตลาดหลักทรัพย์สามารถรองรับได้หมด และไม่มีปัญหาระบบขัดข้องอย่างแน่นอนรับหุ้นประวัติศาสตร์ORเข้าเทรด 11 ก.พ.นี้พร้อมมั่นใจระบบไม่ล่ม
ขณะที่ปตท.ได้ปรับแผนกระจายหุ้นโยกการซื้อคืนหุ้นส่วนเกินที่เสนอขายนักลงทุนหรือกรีนชู 390 ล้านหุ้นให้รายย่อยทั้งหมดเพราะมีการประเมินว่ายอดจองจะมีสิทธิทะลุ 1 ล้านราย นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดซึ่งก็ต้องจับตาดูต่อไปในวันพรุ่งนี้
วันนี้จะสรุปให้ฟังอีกรอบว่าทำไมหุ้นตัวนี้ถึงเนื้อหอมมาก ๆ อันดับแรก คือ หุ้นตัวนี้พื้นฐานดี บริษัทมีแผนธุรกิจที่น่าสนใจ บริษัทมีความมั่นคง จะซื้อเพื่อเก็บไว้ทำกำไรสักนิดสักน้อยก็ไม่เสียหายอะไร เพราะที่ผ่านมาหลายคนกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้นมีธุรกิจหลักที่มั่นคง ซึ่งมีธุรกิจหลักมี 3 กลุ่มคือ 1.ธุรกิจน้ำมัน 2.ธุรกิจ nonoil (ค้าปลีกและบริการอื่น ๆ) และ 3.ธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งธุรกิจน้ำมันของ OR ไม่ใช่แค่การขายในปั๊มแม้ว่าธุรกิจน้ำมันจะเป็นฐานรายได้หลัก ซึ่งจากตัวเลขรายได้ธุรกิจน้ำมันปี 2563 กว่า 417,730 ล้านบาทแต่ยังมีส่วนธุรกิจที่ขายให้ลูกค้าพาณิชย์รายใหญ่อีกกว่า 2 พันราย โดยธุรกิจ nonoil สร้างรายได้ราว 19,180 ล้านบาท
นอกจากนี้ธุรกิจต่างประเทศนอกจากแผนขยายสถานีบริการน้ำมันจาก 1,968 แห่ง เพิ่มเป็น 3,100 แห่ง ส่วนแผนขยายร้านคาเฟ่ อเมซอน จาก 3,168 แห่ง เป็น 5,800 แห่ง ซึ่งเพิ่มมากกว่าสถานีบริการน้ำมัน เพราะปัจจุบันมีการเปิดให้บริการนอกปั๊ม ซึ่งมีผู้สนใจขอรับสิทธิแฟรนไชส์จำนวนมาก รวมไปจนถึงถึงร้าน Texas Chicken ที่ OR ได้สิทธิเป็นผู้ทำตลาด ในประเทศไทย ก็มีแผนขยายเพิ่มปีละ 20 แห่ง ส่วนร้านสะดวกซื้อมีถึง 2 แบรนด์คือ เซเว่นอีเลฟเว่น และ จิฟฟี่
ไม่เพียงเท่านี้ยังหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ เช่น ล่าสุดได้ซื้อหุ้น 9.58% ของบริษัทโลจิสติกส์ “แฟลช เอ็กซ์เพรส” รวมถึงทำสัญญาซื้อหุ้นเพิ่มทุนบริษัท “พิเบอร์รี่” เพื่อขยายขอบข่ายธุรกิจกาแฟโดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องชงกาแฟ ทั้งหมดนี้คือข้อมูลเพื่อที่จะให้นักลงทุนประกอบการตัดสินใจในการลงทุน พรุ่งนี้มาลุ้นกันว่าจะถึง 1 ล้านรายหรือไม่ ?