TDRI คาดโครงการรับจำนำข้าวขาดทุนกว่า 6.2 แสนล้านบาท

TDRI ประเมินว่า หลังปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะมีผลขาดทุนในโครงการนี้กว่า 6.2 แสนล้านบาท โดยประชาชนผู้เสียภาษีต้องแบกรับภาระ

วันที่ 19 ก.ค. 60 -- นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ประเมินว่า ผลขาดทุนหลังปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่รัฐบาล คสช. ได้เร่งระบายข้าวที่ค้างอยู่ในสต็อกปริมาณ 54.3 ล้านตัน ข้าวเปลือกออกมา จะขาดทุนรวมกว่า 6.2 แสนล้านบาท ขณะนี้ผลขาดทุนเริ่มทยอยลดลงหลังจากข้าวในสต็อกลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนที่กระทรวงพาณิชย์กำลังเร่งระบายส่วนที่เหลือออกมา คาดความเสียหายส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จากผลขาดทุนสิ้นปีงบประมาณ 2559 ตามรายงานกระทรวงการคลัง อยู่ที่ 6.07 แสนล้านบาท ส่วนด้านคดีความที่ฟ้องร้องเรื่องการทุจริตไม่เกี่ยวกับการปิดบัญชีโครงการฯ

สำหรับ ต้นทุนค่าใช้จ่ายในโครงการรับจำนำข้าวที่ประเมินไว้โดยรวมเงินประกันราคาขั้นต่ำ 15,000 บาทต่อตัน และค่าใช้จ่ายอื่น ทั้งค่าเก็บข้าวในโกดัง ค่าสีข้าว และ ค่าเสื่อม อยู่ที่ 9.8 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่ารายงานของภาครัฐที่ระบุไว้ที่ 8.5 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ เมื่อหักกลบผลประโยชน์ของกลุ่มผุ้ที่ได้ประโยชน์ กับ ผู้เสียผลประโยชน์จากโครงการนี้ ผลเสียหายจะตกอยู่กับประเทศไม่ต่ำกว่า 1.2-1.6 แสนล้านบาท ยังไม่นับรวมความเสียหายจากตลาดข้าวที่ถูกบิดเบือนราคาทำให้สูญเสียตลาดข้าวในต่างประเทศ เช่น อิหร่าน อิรัก และ ฮ่องกง

นายนิพนธ์ กล่าวอีกว่านโยบายรับจำนำข้าวที่รัฐบาลในขณะนั้น คาดหวังว่าจะช่วยดึงราคาตลาดโลกในฐานะผู้ส่งออกรายใหญ่ที่มีข้าวในมือสามารถคุมตลาดโลกได้นั้น เป็นเพียงความเชื่อ เพราะจากข้อมูลพบว่าหลังเปิดโครงการรับจำนำเดือน ต.ค. 2554 ทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นจริงได้เพียง 6 เดือน หรือ ถึงเดือน พ.ค. ในปีถัดไป หลังจากนั้น ราคาข้าวก็เริ่มดิ่งลงต่อเนื่อง ในขณะนี้สถานการณ์ราคาข้าวในตลาดโลกเริ่มสูงขึ้น หลังจากการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลหมดลง ประกอบกับประเทศผู้ผลิตข้าวหลายประเทศ เช่น บังคลาเทศ และศรีลังกา เกิดภัยพิบัติไม่สามารถผลิตข้าวสู่ออกตลาดได้