กรมประมง เตรียมปิดอ่าวไทยตอนกลาง 15 ก.พ. – 15 พ.ค. ขยายพื้นที่ ถึงอ.หัวหิน จ.ประจวบฯ ให้ปลาทูวางไข่ เผยข่าวดี เพิ่มปริมาณปลาทูเกิน 2 เท่าตัว กรมประมงแจ้งเรือประมงพาณิชย์กว่า1หมื่นลำ ขอใบอนุญาตประมงปี63-64 วันที่ 5-29 ก.พ.นี้
วันที่ 5 ก.พ. 2563 นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง เตรียมประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ทะเลอ่าวไทยตอนกลาง ประจำปี 2563 ในเขตพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 พฤษภาคม 2563 ต่อด้วยเขตพื้นที่พิเศษ 7 ไมล์ทะเลและพื้นที่อ่าวประจวบ-หัวหิน อีก 30 วัน เผยผลการศึกษาพบมาตรการฯ ที่บังคับใช้ สอดคล้องกับวงจรชีวิตปลาทู สามารถฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำได้อย่างยั่งยืน
โดยมาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ทะเลอ่าวไทย หรือที่เรียกว่า ปิดอ่าวไทย คือ แนวทางการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำให้มีใช้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นนโยบายที่กระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญอย่างมาก และเป็นภารกิจหลักของกรมประมงที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีสถิติการตรวจสอบเก็บข้อมูลทางวิชาการ ทั้งในเรื่องของจำนวน และความหลากหลายของชนิดพันธุ์สัตว์น้ำ พบว่า จำนวนสัตว์น้ำในกลุ่มปลาทูลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับห้วงเวลาเดียวกันในอดีต ซึ่งมาจากหลายเหตุปัจจัย
ทั้งเรื่องของความเสื่อมโทรมของทรัพยากรสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อม ความต้องการของผู้บริโภค และมีเรือประมงบางส่วนที่ใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงเข้ามาทำการประมงในพื้นที่ ประกอบกับเมื่อมีการติดตามสภาวะทรัพยากรสัตว์น้ำในแต่ละปีหลังจากมาตรการปิดอ่าว พบว่าลูกพันธุ์สัตว์น้ำที่เกิดขึ้นในช่วงมาตรการและอาศัยอยู่ในแนวชายฝั่งถูกจับขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นต้นเหตุของปริมาณสัตว์น้ำที่ลดจำนวนลงทั้งสิ้น
แต่เมื่อหลังจากที่ได้มีการปรับปรุงกฎหมายพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งมีมาตรการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ทำให้จำนวนประชากรสัตว์น้ำเริ่มฟื้นฟูกลับคืนมาจำนวนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการใช้มาตรการอนุรักษ์อย่างเหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของพี่น้องชาวประมงมากนัก เมื่อปี พ.ศ. 2561 กรมประมงได้มีการออกประกาศ ลงวันที่ 31 มกราคม 2561 เพื่อกำหนดพื้นที่และระยะเวลาฤดูปิดอ่าวไทยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้
พื้นที่ปิดอ่าวไทยตอนกลาง ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 27,000 ตารางกิโลเมตร บางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี (เขต 1) ระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 15 ก.พ. – 15 พ.ค.ของทุกปี และ ได้กำหนดให้เครื่องมือประมงบางชนิดของกลุ่มประมงขนาดเล็ก ซึ่งไม่กระทบกับมาตรการปิดอ่าวให้สามารถใช้ทำการประมงได้ ดังนี้
(1) เครื่องมืออวนลากแผ่นตะเฆ่ อวนลากคานถ่างที่ใช้ประกอบเรือกลที่มีขนาดความยาวไม่เกิน 16 เมตร ต้องทำการประมงในเวลากลางคืน และต้องทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่งด้วย
(2) เครื่องมืออวนติดตาปลาที่ใช้ประกอบเรือกลที่มีขนาดต่ำกว่า 10 ตันกรอส และต้องใช้ช่องตาอวนตั้งแต่สองนิ้วขึ้นไป กรณีที่ชาวประมงต้องการใช้เครื่องมืออวนติดตาปลาที่มีความยาวอวนเกิน 2,500 เมตร ต่อเรือประมง 1 ลำ จะต้องใช้นอกเขตทะเลชายฝั่ง เท่านั้น
(3) เครื่องมืออวนปู อวนลอยกุ้ง
(4) เครื่องมืออวนครอบ อวนช้อน หรืออวนยกหมึก ที่ใช้ประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เครื่องปั่นไฟ) ต้องทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง
(5) ลอบปู ต้องทำการประมงตามเงื่อนไขที่กำหนด
(6) ลอบหมึกทุกชนิด
(7) ซั้งทุกชนิดที่ใช้ประกอบทำการประมงพื้นบ้าน. สามารถทำการประมงได้ในเขตทะเลชายฝั่ง
(8) คราดหอย ต้องทำการประมงตามเงื่อนไขที่กำหนด
(9) อวนรุนเคย ต้องทำการประมงตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยประกาศกระทรวงฯ
(10) จั่น ยอ แร้ว สวิง แห เบ็ด สับปะนก ขอ ลอบ ฉมวก และเครื่องมืออื่นใดที่ไม่ใช้ประกอบเรือกลขณะทำการประมง
(11) เรือประมงที่มีขนาดต่ำกว่า 10 ตันกรอส ที่ใช้เครื่องยนต์มีกำลังแรงม้าไม่ถึง 280 แรงม้า ประกอบเครื่องมือทำการประมงที่มิใช่เครื่องมือตามประเภท วิธีการทำการประมงที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนดให้เป็นประมงพาณิชย์ทำการประมง ยกเว้นอวนครอบ อวนช้อน หรืออวนยกปลากะตัก ที่ใช้ประกอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เครื่องปั่นไฟ) และที่ห้ามตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดเครื่องมือทำการประมง วิธีการทำการประมง และพื้นที่ทำการประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2560
นอกจากนี้ ยังได้มีการกำหนดให้หลังเปิดอ่าวตอนกลางแล้ว ให้ปิดอ่าวต่อที่เขตพื้นที่พิเศษ 7 ไมล์ทะเล และพื้นที่อ่าวประจวบฯ อีก 30 วัน เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมีไข่ฯ สอดคล้องกับวงจรชีวิตปลาทู ทำให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และจากการสุ่มเก็บตัวอย่างประชากรปลาทูช่วงมาตรการปิดอ่าวไทยปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าจำนวน อายุ และขนาดความยาวของปลาทู สามารถบ่งชี้ถึงความหมาะสมของการใช้มาตรการปิดอ่าวไทยฯ ดังนี้
ช่วงการประกาศใช้มาตรการปิดอ่าว 15 ก.พ. – 15 พ.ค. ระยะเวลา 90 วัน ประจวบฯ ชุมพร สุราษฎร์ฯ พ่อแม่ปลาทูมีความสมบูรณ์เพศ ผสมพันธุ์ และมีการแพร่กระจายของลูกปลาทู-ปลาลัง และปลาเศรษฐกิจขนาดเล็ก ซึ่งสอดคล้องกับการประกาศใช้มาตรการฯ ช่วงต่อเนื่องระยะ 7 ไมล์ทะเล
16 พ.ค. – 14 มิ.ย. ระยะเวลา 30 วัน ในอ่าวตอนกลาง : ลูกปลาวัยอ่อนที่เกิดบริเวณพื้นที่มาตรการมีโอกาสเลี้ยงตัวบริเวณชายฝั่ง ช่วงพื้นที่อ่าวประจวบฯ จากเขาตาม่องไล่ ถึง อ.หัวหิน 16 พ.ค. – 14 มิ.ย. ระยะเวลา 30 วัน : ลูกปลาขนาดเล็ก เดินทางเคลื่อนเข้าสู่อ่าวไทยรูปตัว ก
และเมื่อถึงวันที่ 15 มิ.ย. – 30 ก.ย. กรมประมงก็จะมีการประกาศปิดอ่าวตัว ก เพื่อรักษาปลาทูสาวให้เจริญเติบโตเป็นพ่อแม่พันธุ์ และพร้อมเดินทางลงไปผสมพันธุ์วางไข่ในช่วง ก.พ. (ปิดอ่าวไทย)
ทั้งนี้ปริมาณสัตว์น้ำเพิ่มขึ้นพบว่าปี62 หลังจากเปิดอ่าว เรืออวนล้อม จับสัตว์น้ำได้เพิ่มขึ้น 114,056 ตัน แบ่งเป็นชนิดพันธุ์ปลาทู จับได้ในเดือนมิ.ย.จาก578 ตัน เป็น 1,880 ตันในเดือนก.ค.
รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่ากรมประมง แจ้งผู้ประสงค์ทำการประมงพาณิชย์ กว่า 10,000 ลำ ในน่านน้ำไทย รอบปีการประมง 63-64 สำหรับเรือประมง-ขนาด 10 ตันกรอสขึ้นไป หรือเรือประมงที่ใช้เครื่องยนต์มีกำลังแรงม้า 280 แรงม้าขึ้นไป หรือเป็นเรือที่มีหรือใช้เครื่องมือทำรมว.เกษตรฯ
กำหนดให้มายื่นคำขอรับใบอนุญาตทำประมงพาณิชย์ และยื่นคำขอรับหนังสือรับรองเพื่อประกอบการยื่นขอออกใบอนุญาตใช้เรือ ณ สำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานประมงอำเภอแห่งท้องที่ที่มีอาณาเขตติดทะเล หรือสถานที่อื่นตามที่อธิบดีกำหนด ภายในวันที่ 5-29 ก.พ.นี้เท่านั้น หากไม่มีใบอนุญาตฯจะไม่มีสิทธิทำประมงพาณิชย์ได้ในรอบปีการประมง 63– 64
สำหรับขั้นตอนและระยะเวลาขอรับใบอนุญาตฯ สำหรับปีการประมง 63-64 นั้น กรมประมงกำหนดให้ผู้ประสงค์ทำประมงพาณิชย์ยื่นคำขอรับใบอนุญาต และยื่นขอรับหนังสือรับรองประกอบการขอต่ออายุใบอนุญาตใช้เรือ ณ สำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานประมงอำเภอแห่งท้องที่ที่มีอาณาเขตติดทะเล หรือสถานที่อื่นตามที่อธิบดีกำหนด ภายในวันที่ 5-29 กุมภาพันธ์
โดยกรมประมงจะพิจารณาจัดสรรใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ ภายในวันที่ 1-15 มีนาคม 63 ในส่วนเรือประมงพื้นบ้าน มาขึ้นทะเบียนแล้ว กว่า 5.3 หมื่นลำ ที่สามารถออกจับสัตว์ได้ โดยไม่ต้องแจ้งขอใบอนุญาตทำการประมง เนื่องจากเป็นการประมงเพื่อยังชีพ