สหรัฐฯสั่งโจมตีอีก พร้อมเตรียมส่งทหารไปตะวันออกกลางเพิ่ม

สำนักข่าวเอพีรายงาน สหรัฐฯโจมตีทางอากาศทางตอนเหนือของกรุงแบกแดดในอิรักอีกเมื่อคืนวันศุกร์ ส่งผลให้หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายในอิรักเสียชีวิต ซึ่งกองกำลังนี้เป็นกลุ่มที่ได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลอิหร่าน

ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวในอิรักว่า การโจมตีเกิดขึ้นราว 1 นาฬิกาของเช้าวันเสาร์ ขบวนรถกลุ่มก่อร้ายมุสลิมชีอะห์ 2 คันถูกพบไฟลุกไหม้พร้อมร่างไหม้เกรียม 6 ร่าง และผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 3 ราย

ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าสหรัฐฯ เตรียมพร้อมส่งทหารไปตะวันออกกลางเพิ่มอีกราว 3,000 ถึง 3,500 นาย เป็นกองพลเดียวกับที่ส่งไปก่อนหน้านี้ 720 นาย หลังสถานทูตสหรัฐฯในกรุงแบกแดดถูกโจมตีและเสียหายหนัก

วันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้สั่งการโจมตีใกล้สนามบินนานาชาติแบกแดด ส่งผลให้ผู้บัญชาการทหารคนสำคัญของอิหร่าน นายพล คาเซม โซเลมานี เสียชีวิต สหรัฐฯระบุว่าได้ตัดสินใจเพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่ในต่างแดนโดยการสังหารโซเลมานี และเพื่อสกัดกั้นแผนโจมตีของอิหร่านที่จะกำลังเกิดขึ้น

โซเลมานี หัวหน้ากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน และรองหัวหน้ากองกำลังของอิรัก อาบู มาห์ดี อัล-มูฮานดีส์ ที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลอิหร่าน เสียชีวิตพร้อมเจ้าหน้าที่ความมั่นคงหลายนายเช้าวันศุกร์ เวลาท้องถิ่น โซเลมานี นับเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลของอิหร่าน ประเทศได้ประกาศไว้อาลัย 3 วัน

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯระบุ ที่ผ่านมา นายพลโซเลมานีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการวางแผนโจมตีนักการทูตและเจ้าหน้าที่จองสหรัฐฯในอิรักและใรภูมิภาค โซเลมานีและกองกำลังอยู่เบื้อหลังการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯและพันธมิตรนับร้อยคน และบาดเจ็บอีกนับพัน ในหลายเดือนที่ผ่านมา รวมถึงการโจมตีในเมืองเคอร์คุกของอิรัก เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ที่ส่งผลให้มีพลเรือนชาวอเมริกันเสียชีวิต และเป็นผู้สนับสนุนการโจมตีสถานทูตสหรัฐฯในกรุงแบกแดดสัปดาห์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ โซเลมานีได้เดินทางในตะวันออกกลางในช่วงหลายวันมานี้ เพื่อเตรียมโจมตีนักการทูตและเจ้าหน้าที่สหรัฐฯครั้งใหญ่ และโซเลมานีเป็นผู้บัญชาการกลุ่มชาวอิรักที่สร้างความคุกคามต่อชาวอเมริกัน

ด้านผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาโตเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ประกาศแก้แค้นสหรัฐฯ ว่าการล้างแค้นกำลังรออาชญากรอยู่การต่อสู้จะยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่กระทรวงต่างประเทศได้ประกาศให้ชาวอเมริกันในอิรักเดินทางออกจากประเทศทันที เพราะความตึงเครียดสูงในภูมิภาค