เผลอแป๊บเดียวหมดไปอีกหนึ่งปีแล้ว ได้เวลาส่องเทรนด์สุขภาพที่จะเกิดขึ้นในปีใหม่ที่จะถึงนี้ ไม่อ่านตกเทรนด์กันง่ายๆนะ
ดีท็อกซ์ทางดิจิทัล
เทรนด์สุขภาพนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิด เพราะเมื่อความนิยมเรื่องใดเรื่องหนึ่งพุ่งขึ้นสูงสุด แนวโน้มคือมันจะค่อยๆ ลดลง และเหวี่ยงไปอีกทางหนึ่ง หากเราทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไปจนถึงจุดอิ่มตัว โดยธรรมชาติแล้วจะเกิดอาการหยุดนิ่ง และหันกลับไปในอีกทิศทางหนึ่ง จากนั้นจึงจะขยับกลับไปในทิศทางเดิม เมื่อเวลามาบรรจบกัน
หลายคนคิดว่า นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการใช้สมาร์ทโฟนและเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ ในปี 2020 ในปัจจุบันนี้ สังคมที่เราอยู่หมกมุ่นอยู่กับมือถือ จนเกิดผลกระทบทางลบต่อชีวิตและสุขภาพของเรา ผู้เชี่ยวชาญจึงเชื่อว่า ในปี 2020 คนจะเริ่มมองหาวิธีดีท็อกซ์จากสมาร์ทโฟน อันจะส่งผลดีกับสุขภาพโดยรวม ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
สารโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยส่งสัญญาณภายในสมอง จะหลั่งออกมาทุกครั้งที่เราเห็นความเห็นหรือไลค์ในโซเชียลมีเดีย และทุกครั้งที่เราได้รับการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดียบนสมาร์ทโฟน จิตใจของเราจะเริ่มยึดติดกับความรู้สึกนั้น รวมถึงกิจกรรมที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้นผลข้างเคียงที่ตามมา คือการคอยเช็คโซเชียลมีเดียและสมาร์ทโฟนอยู่เกือบจะตลอดเวลา
ในปี 2020 เราจะได้เห็นกลุ่มคนที่เริ่มตระหนักถึงผลกระทบของโซเชียลมีเดียและสมาร์ทโฟน และรู้ว่าการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันนั้น เป็นชีวิตที่เติมเต็มได้มากกว่าการจมอยู่กับโซเชียลมีเดียและติดหนึบอยู่กับสมาร์ทโฟน
ดีเอ็นเอ
เครื่องมือตรวจสอบดีเอ็นเอด้วยตัวเอง ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ในปี 2020 จะเกิดการตื่นตัวในเรื่องของดีเอ็นเอเพิ่มมากขึ้น ในบทบาทของการมีส่วนช่วยในเรื่องสุขภาพ รวมถึงการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นของเรา คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ ว่าดีเอ็นเอไม่ได้มีไว้ตรวจสอบเชื้อสายบรรพบุรุษของเราเท่านั้น แต่สามารถนำมาใช้ปรับปรุงสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกายได้อีกด้วย
ดีเอ็นเอสามารถนำมาใช้บอกรายละเอียดของสุขภาพภายใน แสดงผลให้เห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลงด้านอาหาร และเสริมความแข็งแรงของร่างกายอย่างไรบ้าง และช่วยให้เราดูแลผลกระทบที่มีต่อร่างกาย
ในปี 2020 เราจะเห็นทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาอาชีพ หรือคนที่ต้องการมีร่างกายแข็งแรงขึ้น นำเครื่องมือตรวจดีเอ็นเอเข้ามาใช้ในการฝึกออกกำลังกายประจำวัน เพื่อให้แน่ใจว่าเขากำลังเดินมาถูกทางไปสู่เป้าหมายด้านสุขภาพที่ตั้งไว้
พีคิว (Physical Intelligence - PQ)
คำนี้อาจเป็นคำใหม่ของใครหลายคน เป็นคำที่ใช้ร่วมกับคำที่เรารู้จักดีอย่างอีคิว (Emotional Quotient - EQ) และไอคิว (Intelligence Quotient - IQ) โดยรวมแล้ว พีคิวหมายถึงความฉลาดทางธรรมชาติของร่างกาย เป็นความสามารถของร่างกายที่จะจัดการสร้างความสมดุลของสารเคมีในร่างกาย เป็นสารที่ควบคุมความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของเรา ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น รู้สึกเติมเต็ม และประสบความสำเร็จมากขึ้นในภาพรวม
ผู้เชี่ยวชาญที่ค้นคิดคำนี้กล่าวไว้ว่า มีสารเคมีสำคัญแปดชนิด ที่ควบคุมความคิด ความรู้สึก การพูด และพฤติกรรมของเรา เราสามารถปรับเปลี่ยนระดับของอารมณ์ การโต้ตอบทางอารมณ์ ความเครียด ความมั่นใจ และความสุขได้ตามต้องการ โดยการใช้เทคนิคการผสานร่างกายและจิตใจ เป็นเทคนิคที่เรียบง่ายแต่ได้ผล และสามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
ชาผสมกัญชา
การตื่นตัวเรื่องการใช้กัญชา เป็นหนึ่งในเทรนด์สุขภาพในปี 2019 แต่เทรนด์นี้จะต่อเนื่องจนถึงปี 2020 และจะอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน
คาดกันว่า ชากัญชาจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพราะการดื่มชาสามารถทำได้ง่ายๆในชีวิตประจำวัน เหมาะกับคนที่มองหาวิธีบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชาแบบสะดวกและเป็นธรรมชาติ แต่ประโยชน์ของชากัญชายังมีมากกว่านั้น ชากัญชาถูกผลิตมาให้เกิดปฏิกิริยากับร่างกายได้ง่ายกว่าสารกัญชาปกติ เมื่อชาทำปฏิกิริยากับเซลล์ในร่างกายและระบบประสาทส่วนกลาง เราจะรู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับง่าย นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเครียดและความกังวลใจได้ด้วย
ธรรมชาติบำบัด (Ecotherapy)
พลังบำบัดของธรรมชาติเริ่มได้รับการพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดที่ว่า ในปีนี้ แพทย์เริ่มแนะนำให้ใช้การทำสวนเป็นส่วนหนึ่งของวิธีบำบัด ในกรณีที่คนมีความกังวลและมีอาการซึมเศร้า แนวความคิดนี้หมายถึงกิจกรรมนอกบ้านใดๆก็ตาม ที่มีผลเชิงบวกต่อสุขภาพหรือความเป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการทำสวน การเดิน การขี่ม้า หรือกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ที่ทำได้กลางแจ้ง เรื่องนี้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเราอยู่ในสังคมที่ต้องพยายามดึงตัวเองออกจากเทคโนโลยีเสียบ้าง
มีงานวิจัยที่วัดระดับสุขภาพโดยรวม ความเครียด และความกังวล ก่อนและหลังการเดิน 20 นาทีพบว่าร่างกายและอารมณ์เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น รวมถึงความเครียดก็ลดลงด้วย ดังนั้น จึงถือได้ว่า ธรรมชาติมีคุณสมบัติในการเยียวยา จนแพทย์สามารถแนะนำให้ใช้เพื่อลดความเครียดและความกังวล
บลู มายฟูลเนส (Blue mindfulness)
เทรนด์สุขภาพนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือเรื่อง Blue mindfulness ซึ่งให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางน้ำ เพื่อปรับเปลี่ยนสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยความหมายของบลู มายฟูลเนส คือการใช้พลังน้ำเพื่อช่วยให้จิตใจของเราสงบลง กิจกรรมดังกล่าว ได้แก่ การว่ายน้ำ การเล่นเซิร์ฟ การเล่นเรือใบ หรือแม้แต่การเดินเล่นริมลำธาร ก็ช่วยได้เช่นกัน บลู มายฟูลเนสจะเป็นเทรนใหญ่ในปี 2020 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทุกคนเริ่มสร้างการรับรู้ด้านธรรมชาติมากขึ้น
นอกจากนี้ บลู มายฟูลเนสยังเป็นเทรนด์ที่เชื่อมโยงกับเรื่องที่เรากำลังกังวลใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งก็คือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศนั่นเอง การที่เราได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น จะทำให้เราได้รับแรงบันดาลใจที่จะปกป้องและอนุรักษ์น้ำ รวมถึงธรรมชาติที่เชื่อมโยงกับน้ำที่เราใช้บำบัดอยู่นั่นเอง