ความร่ำรวยจากการทำธุรกิจด้วยความซื่อตรง เป็นสิ่งน่าสรรเสริญ แต่การร่ำรวยจากการทำธุรกิจในการเอาเปรียบประชาชนและรัฐเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ที่ได้เตือนสติมหาเศรษฐีทั้งหลายว่าทรัพย์สมบัติที่ท่านสั่งสมเอาไปในอีกภพภูมิหนึ่งไม่ได้ ฉะนั้นการได้ชื่อว่าเป็นคนร่ำรวยที่สุด หาใช่สิ่งที่น่าภูมิใจไม่ หากการได้ซึ่งความร่ำรวยนั้นหาใช่มาจากความซื่อสัตย์
ตอนที่แล้วได้เขียนถึงคดีความที่ร.พ.กรุงเทพ โดย บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) แพ้คดีให้กับสมาชิกไลฟ์ พริวิเลจ ในการบอกเลิกสัญญาสมาชิกและถูกบังคับให้เปิดโครงการนี้ต่อไป แม้ ร.พ.กรุงเทพจะดิ้นต่อด้วยการประกาศใช้สิทธิทางกฎหมาย ยื่นอุทธรณ์สู้คดีกับสมาชิกผู้เคยมีพระคุณกับตัวเอง
ได้เปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ ของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการจำกัด(มหาชน) หรือ BDMS คือ 1.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ จำนวน 2,893,602,540 หุ้น หรือ 18.68% 2.บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ BA จำนวน 1,008,418,690 หุ้น หรือคิดเป็น 6.51% 3. บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 948,283,830 หุ้น คิดเป็น 6.12 % นั้น
ทั้ง 2 บริษัท ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกันกำลังเผชิญปัญหาในเรื่องทำนองเดียวกัน “กลุ่มโรงพยาบาล” กำลังเผชิญปัญหาถูกกล่าวหาว่าเอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งได้แพ้คดีในศาลแพ่งไปแล้ว ส่วน “กลุ่มการบิน” กำลังเผชิญปัญหาเอาเปรียบสาธารณะและรัฐ ด้วยการเช่าและซื้อที่ดินทำสนามบินในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์มิชอบ (เรื่องอยู่ในขั้นตอนการขอยกเลิกเอกสารสิทธิ์) ซึ่งกรมที่ดินอ้างว่าติดขัดตรงที่สนามบินไม่ให้เข้ารังวัดเขตที่ดิน เนื่องจากมีเครื่องบินขึ้นลงตลอดเวลา... ความจริงหยุดรวยสักอึดใจแล้วให้เจ้าหน้าที่ได้เข้าทำหน้าที่เพื่อความถูกต้องและความศักดิ์สิทธิของกฏหมายก็น่าจะเข้าท่ากว่า
ในขณะที่บริษัททั้ง 2 อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีผู้ถือครองหุ้นรวยอันดับต้นๆ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะให้มีใครมากล่าวหาได้ว่า "รวยแล้วเอาเปรียบคนอื่นอย่างไม่มีธรรมาธิบาล" ควรจะ "รวยอย่างมีศักดิ์ศรี" จะได้ "อิ่มบุญ" ทั้งในภพนี้และภพหน้า
......................
คอลัมน์ : ที่นี่ไม่มีความลับ / หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ /ฉบับ 3324 ระหว่างวันที่ 17-20 ธ.ค.2560