SHORT CUT
5 เหตุการณ์ “SHIP หาย” อันโด่งดังในประวัติศาสตร์ สมบัติของมีค่า ไปไม่ถึงฝั่ง! ทุกวันนี้ยังมีคนหวังเจอสมบัติที่ก้นทะเล
เรื่องลี้ลับในทะเล อย่าง “เรือหายไปปริศนา” กำลังได้รับความสนใจจาก กรณี เรือน้ำมันเถื่อนของกลาง 3 ลำ ที่ขนน้ำมันเถื่อน 3 แสนลิตร สูญหายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ ตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 67 ที่ผ่านมา และตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววที่จะพบ
ทั้งนี้ เมื่อมองย้อนดูในประวัติศาสตร์ เรื่องเรือสูญหายปริศนากลางทะเล มีให้หาชมได้นับไม่ถ้วนและส่วนใหญ่มักเป็นเรือขนทอง หรือของมีค่ากันทั้งนั้น ซึ่งอาจเป็นเพราะคนบางกลุ่มไม่ ต้องการให้ของมีค่าไปถึงฝั่ง จึงแล่นเรือไปทางอื่น หรือบางลำก็ถูกปล้นชิงจากศัตรูระหว่างทาง หรือบางลำก็ถูกธรรมชาติเล่นงานจมไปกลางมหาสมุทรก็มีไม่น้อย
และนี่คือ 5 คดีเรือหายที่ดังระดับโลก และทุกวันนี้ของมีค่าบนเรือนั้น ก็อาจจมอยู่ใต้ทะเลเพื่อรอให้ใครสักคนค้นพบ?
เป็นเรือโปรตุเกสขนาดใหญ่ในศตวรรษที่ 16 ที่ถูกใช้งานเพื่อข้ามมหาสมุทรอินเดียโดยเฉพาะ ซึ่งในปี 1511 เรือ Flor de la Mar กำลังขน สมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลเพื่อส่งมอบให้กับกษัตริย์โปรตุเกส แต่มันก็ไปไม่ถึงโปรตุเกส คาดการณ์กันว่าเรือจมลงเพราะพายุนอกชายฝั่งสุมาตรา เพราะในปี 2003 มีการค้นพบส่วนหนึ่งของเรือบริเวณชายฝั่งทะเลของมาเลเซีย และถูกนำไปจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Muzium Samudera (Flor de La Mar) เมืองมะละกา ว่ากันว่าสมบัติที่สูญหายไป มีมูลค่ามากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบันเสียอีก
เป็นเรือใบอังกฤษหนัก 700 ตัน สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 รู้จักกันในชื่อ 'El Dorado of the Seas' มี จอห์น ลิมเบรย์ (John Limbrey) เป็นกัปตันเรือ ซึ่งในปี 1641 เรือได้สูญหายไป ระหว่างกำลังเดินทางกลับมายังประเทศอังกฤษ ซึ่งของที่หายไปกับเรือคือ ทองคำ แท่งเงิน อัญมณี ผ้าไหม และชา สินค้าเหล่านี้มีมูลค่ารวมกันประมาณ 400 ล้านปอนด์ในปัจจุบัน
ในปี 2007 นักโบราณคดีได้ค้นพบสมอเรือของ Merchant Royal จึงมีการค้นพบครั้งนี้จุดประกายให้เกิดการค้นหาซากเรือเพิ่มเติม ซึ่งในปี 2024 นี้ บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการค้นหาซากเรือ จะใช้เวลาทั้งปีในการปูพรมค้นหาทั้งช่องแคบอังกฤษ เพื่อตามหาซากเรือลำนี้โดยเฉพาะ
เรือเดินทะเลแบบไอน้ำของ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ เปิดตัวในปี ค.ศ. 1903 และดำเนินการโดยบริษัท White Star Line เจ้าเดียวกับเรือไททานิกอันโด่งดัง ออกแบบมาเพื่อเป็นเรือโดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดยเฉพาะ มีเส้นทางระหว่างเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ และเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถจุจุผู้โดยสารได้ประมาณ 3,100 คน
ในปี 1909 ซึ่งเป็น (3 ปีก่อนที่เรือไททานิกจะชนภูเขาน้ำแข็ง) เรือ RMS Republic ประสบอุบัติเหตุชนกับเรือลำอื่น ที่เกาะแนนทัคเก็ต รัฐแมสซาชูเซตส์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย และรอดประมาณ 1,500 รายก่อนที่เรือจะจม แต่ด้วยความที่เรือลำนี้มีแต่เศรษฐีใช้บริการ คนมากมายจึงเชื่อว่า มีของมีค่ารวมกันกว่า 250,000 ดอลลาร์ จมลงไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ซากเรือลำนี้ถูกค้นพบในปี 1981 แต่น่าเสียดายที่ไม่พบสมบัติใดๆ ถูกค้นพบ ทำให้หลายคนยังคงเชื่อว่ายังมีสมบัติ ที่ยังคงถูกฝัง ไม่บุบสลาย และรอการขุดพบอยู่
นักสำรวจชาวอิตาลี คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ออกเดินทางสู่ทวีปอเมริกาเป็นครั้งในปี 1492 เขาได้นำเรือจำนวน 3 ลำติดตัวไปด้วย ได้แก่ Niña, Pinta และ Santa Maria ที่เป็นเรือลำใหญ่ที่สุด ซึ่งว่ากันว่า เมื่อพวกเขากลับมาจากโลกใหม่ในวันคริสต์มาสอีฟปี 1492 กะลาสีเรือ Santa Maria ที่ดูแลพวงมาลัย ตัดสินใจงีบหลับ และให้คนอื่นมาถือหางเสือแทน ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะเขาทำให้เรือไปเกยตื้นนอกที่ชายฝั่งเฮติ ทำให้ทุกคนต้องทิ้งเรือไว้ที่นั่น และเรือก็จมลงในวันต่อมา
แม้จุดที่ Santa Maria จมลงจะเป็นปริศนา แต่นักล่าสมบัติเชื่อว่า หากค้นพบซากเรือได้ จะเป็นการค้นพบนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก
นี่ไม่ใช่เรือลำเดียว แต่เป็นกองเรือทั้งกอง โดยใน ฤดูร้อนปี 1715 เรือสเปน 11 ลำที่เต็มไปด้วยสมบัติจากทวีปอเมริกา กำลังออกเดินทางจากฮาวานา คิวบา และมุ่งหน้ากลับบ้าน แต่ไม่มีสักลำไปถึงที่นั่น เพราะเรือทั้งหมดจมลงทะเล พร้อมกับลูกเรือกว่า 1,000 คน เนื่องจากเผชิญกับพายุเฮอริเคนบริเวณฟลอริดา ซึ่งภายหลังซากสมบัติที่กระเด็นออกมาจากเรือถูกรุมแย่งชิงจากฝูงเรือโจรสลัดบริเวณนั้น แต่อย่างไรก็ตาม นักล่าสมบัติทั่วโลกก็ยังคงเชื่อมั่นว่ายังมีสมบัติอีกมากที่ยังไม่ถูกปล้น เพราะมีคนอ้างว่าเจอกล่องสมบัติเก่าๆ ลอยมาเกยตื้นบนชายหาดฟลอริดาอยู่เรื่อยๆ
นี่เป็นแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของเรือขนสมบัติทั่วโลกที่หายไปเท่านั้น เพราะยังเรือขนสมบัติอีกมากที่สูญหาย ไม่สามารถขนสมบัติไปส่งยังจุดหมายได้ และไม่แน่ว่า เคสเรือน้ำมันเถื่อนของกลาง 3 ลำของไทย ที่สูญหายไร้ร่องรอย ก็อาจกลายเป็นหนึ่งในคดีเรือหายที่สำคัญของยุคนี้ได้เหมือนกัน
แต่คงไม่ถึงขั้นดังระดับบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เพราะหนึ่งคือ สิ่งมีค่าที่หายไปอาจดูไม่เยอะมาก และสอง การที่เรือขนของมีค่าจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทะเลของประเทศกำลังพัฒนา คงไม่ใช่เรื่องแปลกเกินคาดแต่อย่างใด
ข่าวี่เกี่ยวข้อง