SHORT CUT
หลักวิทยาศาสตร์ช่วยหาคำตอบ ว่าทำไม บางคนเห็นผีง่ายมาก แต่บางคนอยู่มาเกือบทั้งชีวิตแล้ว เงาผีสักยังไม่เคยเห็น
“ผี (GHOST)” หรือ “วิญญาณ Soul” หมายถึง สิ่งลึกลับที่มนุษย์ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ในบางเวลา ซึ่งผีมีทั้งดีและร้ายโดยผีดีมักเชื่อกันว่ามาให้ความคุ้มครอง ผีร้ายมักเป็นมักมาเพราะอาฆาตแค้น
ปัจจุบัน “ผี” ยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือไม่ ซึ่งบนโลกนี้ก็มีคนที่อ้างว่าเห็นผีอยู่มากมาย ในขณะที่มีอีกมากเช่นกัน ที่ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยเห็นผีแม้แต่ตัวเดียว ทำใกล้สงสัยไม่ได้ว่า ถ้าผีมีจริงอย่างที่คนเห็นผีอ้าง ทำไม พวกมันถึงไม่มาปรากฏตัวให้คนที่ไม่เชื่อเรื่องผีเห็นด้วย ทั้งๆ ที่คนไม่เชื่อหลายคนก็ต้องการเห็นผีเหมือนกันแท้ๆ
บางที คำตอบของคำถามนี้ ต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยหาเหตุผล ว่าทำไม จึงไม่ใช่ทุกคนที่สามารถมองเห็นผีได้
จะเห็นผีได้ ต้องเชื่อเรื่องผีก่อน
ตามคำพูดของนักสังคมวิทยา “คริสโตเฟอร์ เบเดอร์ (Christopher Bader)” สิ่งแรกที่จะทำให้คุณสามารถเห็นผีในบ้านได้นั้น คือ “ต้องเชื่อว่ามีผีอยู่ในบ้าน” โดยเขาเผยว่า การรับรู้ของเรา เกี่ยวกับสิ่งเกิดขึ้นรอบตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตาม จะถูกขับเคลื่อนด้วย ความต้องการ ความคาดหวัง และความเชื่อ ซึ่งความเชื่อนี้เองจะมีพลังกับเรามากที่สุด และความเชื่อจะเด่นชัดขึ้น เมื่อประสาทสัมผัสของเราที่เกิดไม่ชัดเจนหรือคลุมเครือ
ทำให้หลายครั้งที่เราได้ยินเสียงแปลก ๆ ในบ้าน ความเชื่อจะผลักดันให้เรา ‘เชื่อ’ เสียงที่เกิดขึ้นนั้น ว่ามาจากสิ่งที่เรา ‘เชื่อ’ ดังนั้น คนที่เชื่อเรื่องผีและสิ่งมีเหนือธรรมชาติอื่นๆ จึงคิดว่า เสียงเอี๊ยดอ๊าดในบ้านนั้นมาจาก สิ่งลึกลับที่น่าสะพรึงกลัว ในขณะที่คนไม่เชื่อเรื่องผี จะคิดว่าเป็นเพราะความเก่าแก่ของบ้านมากกว่า ที่ทำให้เกิดเสียงแปลกๆ ขึ้น
และเพราะมีคนจำนวนมากที่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่คนจำนวนมากจะอ้างว่าเห็นผี โดยในปี 2001 และ 2005 ‘Gallup Polls’ ของสหรัฐ เผยว่า ชาวอเมริกันมากถึง 75% มีความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างน้อย 1 รูปแบบ และ 50 % จากหลุมนั้น ยอมรับว่า เป็นผู้ศรัทธาในพลังงานเหล่านั้น
รูปแบบการรับรู้ คือตัวแปรสำคัญ
"รูปแบบการรับรู้" ของคนคน หนึ่งสามารถทำนายความเชื่อเหนือธรรมชาติได้ นักวิจัยเผยว่า ความแตกต่างที่เห็นได้ชัด เห็นได้จาก “ผู้ที่ใช้การรับรู้ตามสัญชาตญาณ” และ “ผู้ที่ใช้การรับรู้เชิงวิเคราะห์”
โดยผู้ที่ใช้การรับรู้ตามสัญชาตญาณ จะแก้ไขหรือประมวลผลปัญหาตรงหน้าอย่างรวดเร็ว และเชื่อมั่นในสิ่งนั้นทันที พูดง่ายๆ คือเชื่อตามสัญชาตญาณตัวเองนั่นเอง
ในทางกลับกันผู้ที่ใช้การรับรู้เชิงวิเคราะห์ พวกเขาจะพึ่งพาข้อมูลที่เชื่อถือได้ และจะไม่ถูกอารมณ์และสัญชาตญาณครอบนำมากจนเกินไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากผู้ที่ใช้การรับรู้ตามสัญชาตญาณ จะเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติบ่อยกว่าผู้อื่น
บุคลิกภาพส่งผลต่อความเชื่อเรื่องลี้ลับ
มีการศึกษาจำนวนมาก ที่ยืนยันว่าบุคลิกภาพ ส่งผลต่อความเชื่ออย่างมาก โดยคนที่ชอบหาประสบการณ์ใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต หรือแสวงหาความรู้สึกต่างๆ จะมีแนวโน้ม เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ มากกว่าคนที่ไม่ชอบหาประสบการณ์อะไรใหม่
เพราะทุกศาสนามีเรื่องของผี
เพราะคนจำนวนมากยังนับถือศานาอยู่ และทุกศาสนาก็มีเรื่องของโลกหลังความตาย ภูตผีปีศาจ และเรื่องของปาฏิหาริย์เข้ามาเกี่ยวข้อง คำสอนของแต่ละศาสนาจึงกำหนดรูปแบบของสิ่งที่เราเห็น เช่นถ้าเห็นแบบนี้คือเทวดา หรือเห็นแบบนี้คือเจ้ากรรมนายเวร จึงมีคนตีความสิ่งลึกลับที่เห็นจากความเชื่อในศาสนาของตัวเอง ซึ่งมักจบลงด้วยการเห็นผี
การเห็นผีเป็นผลจากสารเคมีในสมอง
มีรายงานว่า กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของคนที่เป็นโรค พาร์กินเคยเห็นภาพหลอน ทั้งในรูปแบบของผี และสิ่งเหนือธรรมชาติ อื่นๆ ซึ่งนักประสาทวิทยา โอลาฟ แบลงก์ (Olaf Blanke) เผยให้เห็นว่า การหยุดชะงักของการสื่อสารระหว่างสมองส่วนหน้าและขมับของสมอง คือสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอนของผู้ป่วยพาร์กินสัน
จึงกล่าวได้ว่า การที่คนคนหนึ่งเจอผีนั้น อาจเป็นประสบการณ์ทางจิตวิทยา ที่มีรากฐานมาจากประสบการณ์ ความเชื่อ เหตุการณ์ทางชีววิทยา การเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมอง หรือแม้แต่ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การพบเจอสิ่งเหนือธรรมชาติของ นักปีนเขาสูง นักสำรวจขั้วโลก หรือกะลาสีเรือนั้น อาจเกิดจาก อุณหภูมิร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ระดับออกซิเจนต่ำ รวมถึงการต้องอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน จึงมีโอกาสเห็นภาพหลอนมากกว่าคนทั่วไป
สรุปคือ คนที่เห็นผีมักจะเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่แล้ว หรืออย่างน้อยก็เปิดกว้างต่อความเป็นไปได้ของมัน และหากคุณมี บุคลิกภาพ รูปแบบการรับรู้หรือความเชื่อทางศาสนาที่เอื้อต่อการเห็นผีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การไปอยู่ใน สภาพแวดล้อมที่น่าขนลุก ก็จะทำให้คุณเชื่อว่าตัวเองเห็นผีได้ไม่ยากเลย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง