ชวนดู การกลับมาแสดง ของสุดยอดนักแสดง Method Acting อย่าง วาคิน ฟินิกซ์ Joaquin Phoenix ในภาพยนตร์ Napoleon นโปเลียน จากการกำกับของผู้กำกับผู้ทรงอิทธิพลอย่าง ริดลี่ย์ สกอตต์
ภาพยนตร์ Napoleon นโปเลียน ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของสุดยอดผู้กำกับแห่งยุค Ridley Scott หรือคุณปู่ ริดลี่ย์ สกอตต์ บนวัย 85 ปี , สำหรับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก จากการที่ได้ วาคิน ฟินิกซ์ Joaquin Phoenix นักแสดงระดับดีกรีรางวัลออสการ์ที่เคยสร้างปรากฏการณ์เอาไว้ หลายปีก่อนจากเรื่อง Joker กลับมาแสดงบทเด่นในหนังเรื่องนี้
สำหรับ ภาพยนตร์ เรื่อง Napoleon นโปเลียน ถือเป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง ของ ปู่ริดลี่ย์ สกอตต์ กับ วาคิน นับตั้งแต่จากภาพยนตร์ Gladiator เมื่อปี 2000 เป็นต้นมา โดยในภาพยนตร์ Napoleon นโปเลียน เรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องราวของตัวละคร นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) ซึ่รับบทโดยวาคิน ฟินิกซ์ และ โฌเซฟีน (Joséphine) ที่ก้าวขึ้นสู่อำนาจปกครองสูงสุดของจักรวรรดิฝรั่งเศสด้วยความโหดเหี้ยมและขยายความยิ่งใหญ่ไปทั่วทวีปยุโรป
สำหรับ วาคิน ฟินิกซ์ Joaquin Phoenix - นักแสดงผู้มีแววตาอันเร้นลับน่าค้นหานั้น ขึ้นชื่อได้ว่า เป็นอีกหนึ่งนักแสดงแถวหน้าของวงการ ที่มักจะสวมวิญญาณใส่สุดชีวิตทุกๆ การแสดง หรือ ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า นี่คือการแสดงแบบ Method Acting และนี่คืออีกหนึ่งจุดเด่นของเขา
วาคีน ฟินิกซ์ นักแสดงบนชั่วโมงบินแห่งโลกมายา ที่มีอายุ 49 ปี ณ ตอนนี้ ปี 2023 ถือเป็นนักแสดงที่มีการแสดงแบบ “method” ที่ทุ่มเทให้กับบทจนทิ้งความเป็นตัวเอง และสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้น ๆ แบบทุกลมหายใจจนกว่าจะเสร็จสิ้น
เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา , การพลิกบทครั้งสำคัญของวาคิน ฟินิกซ์ ในเรื่อง I'm Still Here (2010) ที่กำกับโดย เคซีย์ เอฟเฟล็ค (Casey Affleck) (ที่ตอนนั้นมีศักดิ์เป็นน้องเขยของวาคิน ฟินิกซ์เนื่องจากแต่งงานกับ ซัมเมอร์ ฟินิกซ์ น้องสาวของวาคิน) เกือบทำให้วาคินต้องแลกมาด้วยอาชีพการงาน เนื่องจากหนังเรื่องนี้เป็นหนังสารคดีแนว mockumentary หนังสารคดีปลอม ๆ ที่ตามติดชีวิตของเขาตั้งแต่ปี 2008 ที่ประกาศรีไทร์จากการแสดงจะผันตัวไปร้องเพลงแร็พ ซึ่งวาคีนเล่นเนียนไปหน่อยจนมีกระแสข่าวลือว่าเขาเป็นบ้ามีปัญหาทางจิต โดยเฉพาะการออกรายการสัมภาษณ์กับ เดวิด เลตเตอร์แมน (David Letterman) ในปี 2009 ที่เขาตอบคำถามแบบพิลึกพิลั่น จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว แบบประมาณว่า วาคิน ฟินิกซ์ ไม่ได้เป็นคนปกติอีกแล้ว
เรื่องราวนี้มาคลี่คลายเมื่อปี 2010 วาคิน ฟินิกซ์ กลับมาอีกครั้งในปี 2010 เพื่อโปรโมทหนังเรื่องนี้ และเฉลยว่าทุกอย่างที่ผ่านมาที่มันผิดเพี้ยนเป็นการแสดง พร้อมขอโทษ เดวิด เลตเตอร์แมน ที่ต้องเข้ามามีเอี่ยวกับการแสดงในเรื่องนี้ด้วย แม้ว่าจะเป็นการแสดงที่ทุ่มสุดตัว แต่ว่าหนังกลับได้คำวิจารณ์แค่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตามวาคีนก็ยังมีผลงานคุณภาพอยู่เรื่อย ๆ อย่าง Her (2013) และ You Were Never Really Here (2017) ที่เขาคว้ารางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์
แต่ว่าความเป็นดาราติสต์แตกของวาคีน ฟินิกซ์ ก็ยังคงเป็นที่รู้จักกันดีในการสัมภาษณ์ของนักข่าว เมื่อเขาออกอาการเฮี้ยน ไม่อยู่กับร่องกับรอย วาคิน เดินออกจากการสัมภาษณ์อยู่บ่อยครั้งเมื่อเจอคำถามไม่ถูกใจ อย่างในการโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง Joker (2019) วาคิน ฟินิกซ์ ก็เดินออกจากการสัมภาษณ์กับ The Telegraph เมื่อถูกถามว่า คิดว่าความรุนแรงในภาพยนตร์ Joker จะสร้างพฤติกรรมเลียนแบบหรือไม่ ? ก่อนจะกลับมาอีกครั้งเมื่อทางทีมประชาสัมพันธ์ของ Warner Bros. เข้าไปช่วยเจรจา ซึ่งวาคิน ฟินิกซ์ ได้ตอบว่าที่เดินออกเป็นเพราะเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าจะตอบยังไงให้ดูเฉียบคม
อย่างไรก็ตาม จากบทอันสุดเศร้าดำดิ่ง จากภาพยนตร์ Joker ก็ทำให้ วาคิน ฟินิกซ์ ใส่วิธี Method Acting กระชากรางวัลออกการ์ สาขานักแสดงนำชาย ยอดเยี่ยม
เรื่องเดินทางมาถึงตรงนี้แล้ว ใครหลายคนอาจจะสงสัยว่า Method Acting ที่วาคิน ใช้ในการแสดงนั้น แท้ที่จริงแล้ว มันคืออะไรกันแน่...หากจะขออธิบายอย่างกระชับ ก็คือ คำว่า "Method Acting" ใช้กันมาอย่างยาวนานในวงการฮอลลิวู้ด เกือบ 100 ปีแล้ว เทคนิควิธีนี้ถูกคิดค้นพัฒนาขึ้นในรัสเซียก่อนโดย คอนสแตนติน สตานิสลาฟสกี้ จากนั้นก็ค่อยๆ ซึมเข้าสู่โรงเรียนการแสดงของอเมริกา โดยเจ้าสำนักที่ทำให้กลวิธีนี้เป็นที่รู้จักคือ ลี สตราสเบิร์ก ในช่วงปี 1931
อธิบายแบบสั้นที่สุด มันคือการที่นักแสดงทำความเข้าใจ ศึกษาความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร อินไปกับเหตุการณ์ นั่นคือการเข้าถึงบทบาทอย่างซึมลึก เข้าถึงอากัปกิริยาของตัวละคร แต่กว่านักแสดงคนๆหนึ่ง จะเข้าถึงบทบาท ได้ต้องแลกกับปัจจัยหลายอย่าง อาทิ การเล่นเป็นนักดนตรี ก็ต้องเล่นดนตรีให้เป็นจริงๆ การสวมบท เป็นนักกีฬา นักแสดงก็ต้องเล่นกีฬานั้นเป็นจริงๆ และ วาคิน ฟินิกซ์ ก็มักจะเข้าถึงบทบาทในตัวละครแต่ละตัวแบบนั้นๆ , แม้อยู่ในเวลา เขาเองไม่ยอมหลุดจากบท แม้ไม่ได้เข้าฉาก
โดยในช่วงที่ วาคิน ฟีนิกซ์ โดนสปอร์ตไลท์จากแวดวงฮอลลิวู้ด จับจ้องมากๆ ในช่วง ที่เขาใส่วิญญาณเป็น Method Acting ในภาพยนตร์ Joker ตอนนั้นวาคิน ฟีนิกซ์นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง "ร่างทรง" ในบทโจ๊กเกอร์ได้อย่างยอดเยี่ยม และโลกแห่งความบันเทิงทั้งโลกต้องสดุดีในการเข้าถึงบทบาท ซึ่งตอนนี้เขาเล่นภาพยนตร์ Joker
วาคิน ฟีนิกซ์ ณ เวลานั้นอยู่บน วัย 44 ปี ยอมรับว่า เขาต้องทุ่มสุดตัว เพื่อลดน้ำหนักลงไปเกือบ 24 กก. เนื่องจากผู้กำกับของภาพยนตร์วายร้ายตัวตลก โจ๊กเกอร์ อย่าง "ทอดด์ ฟิลลิป" คิดว่าตัวละครของเขาต้องมีร่างผอมบาง เป็นคนที่ถูกสังคมรังแก ชีวิตเจอแต่ความอยุติธรรม
โดย วาคีน ฟินิกซ์ ซึ่งเป็นสุดยอดนักแสดงก็เห็นด้วยกับไอเดียนี้ แต่การลดน้ำหนักร่างกาย แกะสลักรูปร่างตัวเอง วาคีน ฟีนิกซ์ก็ทำด้วยความระมัดระวัง มีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ก็เข้มงวดกับการควบคุมแคลอรี่ ซึ่งส่งผลกับนิสัยการกินหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก จากความพยายามทุ่มเท นั่นทำให้เขาคว้าออสการ์นักแสดงนำชายจากเรื่องนี้
การเข้าถึงบทบาท แบบตลอดเวลา ,ไม่ยอมหลุดจากบท แม้ไม่ได้เข้าฉาก นี่คือหนึ่งในวิธีการของการเข้าถึงคำว่า "Method Acting" วิธีการหนึ่ง ในวงการฮอลลิวู้ด และมีนักแสดงจำนวนมากที่ ยอมทำทุกอย่าง ทุ่มเท เสียสละ และแสดงความเป็น "มืออาชีพ" อย่างถึงที่สุด เพื่อให้รูปร่างเป็นไปตามบทตัวละคร
อย่างไรก็ตาม การใช้ วิธีการ Method Acting นั้น ก็ใช่ว่า จะมี "ผลดี" เสมอไป เพราะการแสดงตลอดเวลา ราวกับ "เข้าทรง" ตัวละครนี้ ก็อาจทำลายเนื้อตัวและสร้าง ‘พิษ’ ได้ด้วยเช่นกัน , โดย การใช้วิธีแบบ Method Acting อาจส่งผลร้าย ทั้งในเชิงร่างกายและจิตใจ
โดย เรย์มอนด์ แฮมเดน นักจิตวิทยาชี้ว่าการแสดงสไตล์เมธอด Method Acting นั้นคือการที่นักแสดงพยายาม “แยกความรู้สึกส่วนตัวออกไปขณะที่กลายเป็นตัวละคร เพื่อที่จะได้ดึงเอาความรู้สึกที่ตัวละครนั้นกำลังรู้สึกอยู่ อย่างถ้าตัวละครรู้สึกอยากร้องไห้ พวกเขาก็จะร้องไห้ไปกับตัวละคร”
อันตรายใหญ่หลวงนั้นมักจะเกิดขึ้นเมื่อตัวละครไม่อาจแยกความรู้สึกของตัวเองกับความรู้สึกของตัวละครได้ และอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันหรือชีวิตส่วนตัวโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง หรืออาจจะหมายถึงการ ‘กลายเป็นอื่น’ ที่ทำลายคนรอบๆ ตัวด้วย
ทั้งนี้ ข้อถกเถียงเรื่องการแสดงแบบ Method Acting นั้นยังดำเนินต่อไป และไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด และไม่ว่ามันจะเหมาะกับนักแสดงคนไหนหรือไม่อย่างไร
แตทว่า หัวใจสำคัญ นั่นคือการไม่ไปล่วงละเมิดคนอื่น รวมทั้งอาจต้องระมัดระวังไม่ให้มันกลายเป็นการ ‘ทำลายตัวตน’ ของนักแสดง ไม่ว่าจะทั้งทางร่างกายหรือจิตใจด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง