SHORT CUT
รีวิว “อาณาจักรแห่งพิภพวานร (Kingdom of the Planet of the Apes 2024) ” การผจญภัยที่ตอกย้ำว่านี่คือแฟรนไชส์รีบูตที่ยอดเยี่ยม!
เรื่องราวการปฏิวัติของวานร กลับมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง แม้บทของภาคนี้ จะสู้ตำนานไตรภาคก่อนไม่ได้ แต่ รวมๆ มันก็เป็นการสานต่อตำนานเดิมที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วไปสู่ตำนานบทใหม่ที่แฟน ๆ The Planet of the Apes ต้องตื่นเต้นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แน่นอน
โดย Kingdom of the Planet of the Apes ถือเป็น ภาคที่ 4 ของแฟรนไชส์รีบูต Planet of the Apes ที่ภาค 1-3 ออกฉายในปี 2011 2014 และ 2017 ตามลำดับ โดยได้ “เวส บอล (Wes Ball)” มานั่งแท่นผู้กำกับ เพื่อสานต่อจินตนาการที่ แมตต์ รีฟส์ (Matt Reeves) ทิ้งไว้ในไตรภาค ซึ่งโดยรวมถือว่าไม่ทำให้คนดูผิดหวัง เพราะเวส บอล สามารถสรรค์สร้างโลกยุคล่มสลาย แล้วลิงขึ้นมาเป็นใหญ่ได้อย่างงดงาม ส่วนนักแสดงนำ อย่าง “โอเวน ทีค (Owen Teague)” ที่มารับบท โนอา ก็ดูเป็นฮีโร่คนใหม่ต่อจากซีซาร์ได้ไม่ยาก ถ้าบทภาคใหม่เข้มข้นกว่านี้
ภาคนี้เล่าเรื่องหลังจบภาค War for the Planet of the Apes ไปแล้ว หลายเจเนอเรชัน ซึ่งมนุษย์มีความถดถอยลง ไม่มีแม้แต่อารยธรรม พูดไม่ได้ และใช้ชีวิตราวกับสัตว์ที่หากินในป่าไปวันๆ ขณะที่วานรวิวัฒนาการสูงขึ้น จนมีสังคมแบบชนเผ่า และอยู่ในจุดสูงสุดของทุกเผ่าพันธุ์บนโลกอย่างสมบูรณ์แล้ว
โดยจะโฟกัสที่ “โนอา” วานรหนุ่มจาก “เผ่าอินทรี” ที่รักสงบ แต่คืนหนึ่งหมู่บ้านของเขาถูกทำลายโดยฝีมือกลุ่มวานจากกลุ่มวานรสวมหน้ากาก ที่จับลิงเผ่าอื่นไปใช้แรงงาน ทำให้โนอาต้องออกเดินทางเพื่อช่วยวานรในเผ่า พร้อมกับตามหาความจริงว่าโลกนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ซึ่งระหว่างทาง โนอามีเพื่อนร่วมทาง คือ “อุรังอุตัง (แสดงโดย ปีเตอร์ เมคอน)” ที่อ้างว่าตนเองเป็นสมาชิกภาคีของ ซีซาร์ และ “โนวา (แสดงโดย เฟรยา อัลลัน) ” มนุษย์เพศหญิงที่ดูฉลาดกว่ามนาย์ทั่วไป ซึ่งเส้นทางของพวกเขามุ่งไปหา อาณาจักรรของ “พร็อกซิมัส ซีซาร์ (แสดงโดย เควิน ดูแรนด์)” ราชาวานรที่บิดเบือนคำสอนของซีซาร์ เพื่อเป้าหมายของตัวเอง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ต่อได้ในโรงภาพยนตร์
ภาคนี้ทำให้ แฟน ๆ “พิภพวานร” เสียงแตกพอสมควร บ้างก็บอกว่าสนุกสมการรอคอย บ้างก็บอกว่าสู้ภาคเก่าไม่ได้ บทน่าเอชวงง่วง แต่หลังจากที่ทีม SPRINGNEW ได้ดูมา ต้องบอกตรงๆ ว่า สู้ภาคเก่าไม่ได้เลยจริงๆ แต่ก็ถือว่ามีความน่าสนใจที่อยากให้แฟนๆ ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ไปดูที่โรง
อาจเป็นเพราะภาคนี้เป็นการปูเรื่องไปสู่ภาคใหม่ที่สเกลใหญ่กว่าเดิม ทั้งตัวละคร การดำเนินเรื่อง จุดขัดแย้ง จึงถูกเล่ามาง่ายๆ ผิดกับไตรภาคก่อนที่สร้างมาตรฐานไว้สูงมา ทุกตัวละคร ทุกการกระทำ และทุกการสูญเสีย เราจะสัมผัสได้ว่ามันน่าสะเทือนใจจริงๆ แต่ภาคนี้ทุกอุปสรรคกลับผ่านไปง่ายๆ ไม่ท้าทาย อย่างที่แฟรนไชส์นี้ควรจะเป็น
ภาคนี้บรรยากาศโลกล่มสลาย ที่ CG ทำออกมาสวยหายห่วง แต่น่าเสียดายที่รายละเอียดมันน้อยไปนิดนึง และถึงจะมีฉากที่วานรขี่ม้าวิ่งไล่จับมนุษย์เหมือนสัตว์ป่า แต่ก็ไม่ได้ขยายว่าสุดท้ายพวกมันจับมนุษย์ไปทำอะไร เอาไปใช้แรงงาน หรือไปทรมานก็ไม่ทราบ ไม่รู้เป็นเพราะผู้กำกับกลัวเรื่องความรุนแรงที่มากเกินหรือเปล่า เรื่องนี้จึงดูแอบเหมือนหนังผจญภัยแบบ Disney ไปเลย
จุดแข็งที่ทำทำให้ภาคนี้โดดเด่นเหนือภาคอื่น คงต้องยกให้ไอเดียที่ว่าจะเป็นอย่างไร หากมนุษย์ วิวัฒนาการย้อนกลับ ในขณะที่วานรไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแตกต่างจากไตรภาคก่อน ที่วานรยังเพิ่งเริ่มต่อต้านมนุษย์ และการได้เห็นวานรยุคหลังทำตัวบ้าอำนาจไม่ต่างจากมนุษย์ เอาคำสอนของซีซาร์มาใช้แบบผิดๆ ก็ถือเป็นความแปลกใหม่ของแฟรนไชส์นี้ เพราะลิงไม่ได้เป็นพระเอกอีกแล้ว และไม่ว่าจะมนุษย์หรือลิง ก็มีความเทาๆ เพราะลิงก็บ้า คนก็แสบ จนเราไม่รู้ว่าจะเอาใจช่วยฝั่งไหน
และจุดแข็งอีกอย่างคือ ปมที่หนังทิ้งไว้ตอนท้าย ซึ่งเป็นอะไรที่ว้าวสุดๆ และนำไปสู่คำถามที่ว่า สุดท้าย มนุษย์ หรือ วานร เผ่าพันธุ์ไหนควรได้รับสิทธิอยู่บนโลกมากกว่ากัน ซึ่งควรค่าแก่การไปดูที่โรงอย่างยิ่ง บอกเลยว่าถ้าดูจบแทบจะอยากให้ภาคต่อเข้าฉายพรุ่งนี้เลย
สรุปคือ หากคุณเป็นแฟนเดนตายพิภพวานรอยู่แล้ว คุณจะสนุกกับเรื่องนี้แน่นอน เพราะแม้ว่าเนื้อเรื่องจะเบาๆ ไปนิด แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานของหนัง Blockbuster อยู่ เนื่องจากหนังมีตัวละครที่น่าจดจำ เหตุการณ์สำคัญให้เราได้ติดตาม และงานโปรดักชันที่ยอดเยี่ยมล้ำยุค สาวก ซีซาร์ ควรไปสัมผัสด้วยตัวเองอย่างยิ่ง
แต่ถ้าไม่ใช่สาวกแฟรนไชส์นี้ แต่แค่อยากมาดูวานรทำสงครามกับมนุษย์ หรือดูวานรสู้กันเองแบบถึงอารมณ์ เรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับคุณ เพราะถึงแม้ว่าหนังจะจั่วว่าไม่จำเป็นต้องดูภาคเก่ามาก่อนก็รู้เรื่อง แต่เอาจริงๆ หนังเรื่องนี้ก็ดูทำมาเพื่อแฟนเดนตาย มากกว่ากลุ่มคนดูทั่วไปอยู่ดี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง