SHORT CUT
รีวิว ภาพยนตร์ Civil War (2024) มองสมรภูมิกลางเมืองในสหรัฐ ผ่านสายตานักข่าวสงคราม หนังดีที่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน !
ถ้าการสาดน้ำกลางเมืองช่วงสงกรานต์ มันธรรมดาไป ขอแนะนำให้ไปดูคนสาดกระสุนใส่กันกลางเมืองอเมริกา “วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด (Civil War)” ผลงานของค่าย A24 สตูดิโอสร้างหนังอินดี้ ที่เคยฝากผลงานชื่อดังเอาไว้อย่าง “เทศกาลสยอง (Midsommar)” , “เลดี้ เบิร์ด (Lady Bird)” และ “เหงา เท่า วาฬ (The Whale)”
แต่ Civil War รอบนี้ลงทุนถึง 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อรังสรรค์ฉากความขัดแย้งของสงครามกลางเมืองออกมาให้ดูสมจริงมากที่สุด โดยได้ “อเล็กซ์ การ์แลนด์” ที่เคยมีผลงานอย่าง “พิศวาสจักรกลอันตราย (Ex Machina)” มานั่งแท่นเป็นผู้กำกับ ทว่ามันจะเดือดสมชื่อหรือไม่ มาฟังรีวิวกัน
เนื้อเรื่องเล่าถึงสหรัฐอเมริกาในยุคที่ คนแตกแยก ไม่ลงรอยกัน จนอุบัติเป็นสงครามกลางเมือง ซึ่งฝั่งหนึ่งคือกองกำลังตะวันตก นำโดยรัฐแคลิฟอร์เนีย และรัฐเท็กซัส ที่ต่อสู้กับฝั่งรัฐบาล ซึ่งมีประธานาธิบดีทำตัวเป็นเผด็จการ และดำรงตำแหน่งยาวต่อเนื่อง 3 สมัย นั่นจึงทำให้กองกำลังตะวันตก ต้องบุกเข้าไปในกรุง วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสังหารเขาในทำเนียบขาวให้ได้
แต่ไม่ได้มีแค่กองกลังทหารเท่านั้น ที่อยากบุกเข้าเมืองหลวง เพราะเป็นหน้าที่ของนักข่าวสงครามเช่นกัน ที่ต้องรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่ง “ลี” (รับบทโดย เคิร์สเตน ดันสต์) ช่างภาพสงครามมืออาชีพ กับ เพื่อนนักข่าวของเธอ “โจ” (รับบทโดย วากเนอร์ มูร่า) จะเดินทางไปยัง กรุง วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสัมภาษณ์ประธานาธิบดีให้ทันก่อนกลุ่มกบฏจะได้รับชัยชนะ แต่พวกเขา ต้องพาเพื่อนร่วมทางไปอีก 2 คน นั่นคือ เพื่อนนักข่าวอาวุโส “แซมมี่” (รับบทโดย สตีเฟนแม็คคินลีย์ เฮนเดอร์สัน) และนักข่าวสาวไฟแรงที่ต้องการหาประสบการณ์ “เจสซี่” (รับบทโดย เคลลี่ สปานี) งานนี้จึงกลายเป็นการเดินทาง ของนักข่าว 4 คน ท่ามกลางช่วงเวลาที่คนชาติเดียวกันหันมาฆ่ากันเอง
ต้องบอกว่าทั้งตัวอย่างหนัง และโปสเตอร์ของ Civil War ที่เน้นโชว์ยุทโธปกรณ์ทหารนั้น อาจทำให้ผู้ชมเกิดความคาดหวังว่า จะต้องเป็นหนังแอคชั่นแนวสงครามสมัยใหม่ ที่เน้นความระทึกในสงคราม เหมือนเรื่อง “ยุทธการฝ่ารหัสทมิฬ (Black Hawk Down) แต่เอาเข้าจริงหนังกลับไม่ได้โฟกัสความแอคชั่นอย่างที่คิด กลับกันมันกลายเป็นหนังแนวโร้ดทริป ที่เน้นเอาชีวิตรอด มากกว่าเข้าปะทะ ไม่มีแม้แต่ฉากวางแผนการรบ หรือฉากตัวละครทำอะไรเท่ๆ เหมือนหนังแอคชั่นทั่วไป
เพราะสงครามเป็นเพียงฉากประกอบ ที่ให้นักข่าวทั้ง 4 คนไปเจอแล้วถ่ายรูปเก็บเป็นหลักฐานเท่านั้น โดยแต่ละเมือง แต่ละพื้นที่ก็จะมีลักษณะความขัดแย้งมากน้อยต่างกันไป แต่บอกได้เลยว่าไม่ได้เป็นฉากใหญ่โต ขนอาวุธหนักมาถล่มกัน แต่เป็นแค่ไปเฝ้าดูหน่วยติดอาวุธเล็กๆ ปะทะกัน ความเป็นอยู่ในค่ายลี้ภัย พลซุ่มปืนยิงกัน ไปจนถึงการพบเห็นคนในชาติเดียวกันฆ่ากันเป็นว่าเล่น เพียงเพราะความคิดไม่ตรงกัน ซึ่งถูกเล่าออกมาจนเหมือนหนังกึ่งสารคดีนิดๆ
ทำให้ข้อดีของเรื่อง Civil War คือความสมจริง ทรงพลัง ในมุมของการนำเสนอความโหดร้ายของสงคราม เพราะเราลุ้นว่า ระหว่างที่นักข่าวทั้ง 4 คนเดินทางบนถนน และต้องแวะพักตามเมืองต่างๆ จะต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรบ้าง
นั่นจึงทำให้หนังเรื่องนี้ เป็นหนังนักข่าว มากกว่าหนังสงคราม เพราะตัวละครหลัก ทั้ง 4 คนทำได้เพียงเก็บภาพโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเอาไว้ เพื่อเอาไปบอกเล่าต่อไปเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เข้าไปช่วยฝั่งไหนสู้เป็นพิเศษ หรือทำให้ใครดูเป็นผู้ร้ายมากเกินไป กลับกัน บางฉากยังทำให้เราเห็นความเป็นนักข่าวสงครามมืออาชีพด้วย เช่น เห็นคนถูกซ้อมทรมาน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามีความผิดจริงหรือเปล่า คนทั่วไปคงเข้าไปช่วยแล้ว แต่ตัวละครหลักในเรื่องนี้ กับควักกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้เฉยๆ แล้วก็ไปที่อื่นต่อ
ฟังดูเหมือนนักข่าวเป็นคนเย็นชา ไม่เห็นความสำคัญของชีวิตคนอื่นๆ แต่ความจริงคือหนังต้องการบอกว่า นี่แหละคือ “นักข่าว” เพราะถ้าทุกสงครามปราศจากคนเหล่านี้ เราก็จะไม่มีวันรู้ความจริงที่เกิดขึ้นเลย
อีกหนึ่งข้อดีที่ต้องบอกคือ เสียงปืนในเรื่องนี้ ถูกออกแบบมาให้ดังและมีน้ำหนักเป็นพิเศษ ทุกฉากยิงกันจึงดูสมจริง เพื่อให้เรามีความรู้สึกเดียวกับนักข่าวในสงคราม การดูในโรงภาพยนตร์ จึงเป็นประสบการณ์ที่ควรเก็บเกี่ยวไว้เอาไว้อย่างยิ่ง
ส่วนข้อเสีย คือ บทที่ช้าในหลายๆ ช่วง และถึงแม้จะมีเหตุการณ์ระทึกแทรกเข้ามาเวลาผ่านตามเมืองต่างๆ อยู่บ้าง แต่หนังก็จะตัดสลับไปมาระหว่างความระทึก กับความนิ่ง จนอาจทำให้คนดูเบื่อ เพราะดูแบบบันเทิงแบบต่อเนื่องได้ยากมาก ฉากสู้ส่วนใหญ่เราก็ไม่เห็นด้วยซ้ำว่ายิงกับใคร เห็นแต่ตัวละครหลักเดินตามหลังทหารเฉยๆ ยังดีที่ช่วงสุดท้ายยังมีฉากรบใหญ่ให้ดูแบบต่อเนื่องประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งก็ได้อารมณ์ของสงครามกลางเมืองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ตูมตามขนาด ที่จะทำให้คอหนังแอคชั่นชอบได้
ยิ่งไปกว่านั้น หนังแทบไม่ได้บอกว่าสู้กันเพราะอะไรแบบชัดเจน แต่ละกองทัพมีกำลังเท่าไหร่ หรือผู้นำแต่ละฝ่ายมีใครบ้าง ซึ่งอาจเพราะว่าเรื่องเหล่านี้เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนมากในสหรัฐฯ
คือ “วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด” หรือ “Civil War” เป็นหนัง ฟอร์มยักษ์ ที่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะคนที่อยากมาดูฉากยิงกันสนั่นจอ แบบหนังสงคราม เพราะ ขึ้นชื่อว่ามาจากค่าย A24 ย่อมมีความอินดี้ เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่หนังเนื้อเรื่องแนวตลาด
แต่ถ้าเป็นคนชอบความสมจริง ดราม่า โร้ดทริป หรือชอบดูความเสี่ยงตายในอาชีพนักข่าว เรื่องนี้ก็ถือเป็นความสนุกชั้นเยี่ยม และควรไปดูที่โรงภาพยนตร์อย่างยิ่ง เพราะถ้าตัดเรื่องความคาดหวังฉากแอคชั่นออกไป “Civil War” ก็ถือเป็นหนังที่มีนักแสดงดี ตั้งแต่ตัวหลักยันตัวประกอบ ที่ช่วยทำให้เหตุการณ์ที่เจอดูสมจริงมาก และเสียงปืนก็ดังจนนั่งไม่ติดเก้าอี้เมื่อได้ยิน ซึ่งคงมีไม่กี่เรื่องที่ทำอะไรแบบนี้
*SPRINGNEWS ให้ 8 เต็ม 10*
ข่าวที่เกี่ยวข้อง