SHORT CUT
"หลานม่า" หนังครอบครัวเรื่องเยี่ยม จาก GDH ที่ว่าด้วยหลานตัวแสบมาเลี้ยงดูอาม่าเพื่อหวังฮุบสมบัติ ก่อนจะพบว่ามีสิ่งสำคัญยิ่งกว่าเงิน
ไม่ผิดนักหากจะบอกว่า “หลานม่า” สร้างปรากฏการณ์ให้วงการภาพยนตร์ไทยไปแล้ว เพราะตั้งแต่ปล่อยตัวอย่างออกมา ก็ทำให้คนซาบซึ้งได้แล้ว และเมื่อฉายในโรงภาพยนตร์ก็ไม่ทำให้คนดูผิดหวัง เพราะทุกคนที่ก้าวเท้าออกมาจากโรง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือ หนังดราม่าเรียกน้ำตาของปี 2567 จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น กล่าวได้ว่า GDH เลือกเดินมาถูกทาง เพราะการหยุดพักจากหนังรักวัยรุ่น แล้วหันมาจับประเด็นครอบครัวที่เป็นเรื่องใกล้ตัว ก็ถือว่าช่วยเปลี่ยนอารมณ์ให้กับคนดูได้ และ ทำให้ “หลานม่า” ที่มีเนื้อเรื่องธรรมดา ดูมีความพิเศษโดดเด่นกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะตั้งแต่คำโปรยจนถึงตัวอย่าง เราจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องงดราม่าระหว่างลูกหลาน กับพ่อแม่ที่แก่เฒ่า ที่เป็นเรื่องจริงในทุกครอบครัว จึงเจาะกลุ่มคนดูได้มากกว่าแค่วัยรุ่น
หนังจะพาเราไปติดตามชีวิตของ “เอ็ม (บิวกิ้น พุฒิพงศ์)” วัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งที่ดรอปเรียนมหาวิทยาลัย แล้วมาทำอาชีพแคสต์เกม เพื่อหวังจะรวบง่ายๆ แต่สุดท้ายเขาก็เป็นได้แค่ นักแคสต์เกมโนเนมที่ล้มเหลว และก็ไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดี
แต่แสงสว่างแห่งความรวยก็ปรากฏขึ้น เมื่อ มุ่ย (ตู ต้นตะวัน) ลูกพี่ลูกน้อง ได้รับมรดกเป็นบ้านที่ขายได้ 10 ล้าน จากการทำแค่ ดูแลอากงที่ป่วยติระยะสุดท้าย ซึ่งทำให้เอ็มนึกขึ้นได้ว่า ครอบคัวตัวเองก็มี อาม่า (แต๋วแอุษา เสมคำ) ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเหมือนกัน แถมลูกหลานก็ไม่ค่อยแวะเวียนไปหาด้วย เอ็มจึงอาสาไปดูแลอาม่า พร้อมกับความฝันที่จะได้รับมรดกเพื่อรวยง่ายๆ เหมือนกับ มุ่ย
จึงทำให้คนต่างตัวอย่าง ที่มีช่องว่าอายุห่างกันเกือบ 50 ปี ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ซึ่งมันไม่ง่ายเลยที่เอ็มจะกลายเป็นหลานรักของอาม่า เพราะอาม่าก็มีลูกอีกตั้ง 3 คน ที่อาจได้มรดกเหมือนกัน งานนี้เอ็มหลานตัวแสบ จึงต้องพยายามมากกว่าที่คิด แต่ความพยายามนั้นกลับทำให้เอ็มค้นพบสิ่งที่สำคัญกว่า “เงิน” ที่วาดฝันเอาไว้ เพราะทุกวันที่ต้องดูแลอาม่าได้สอนบางอย่างที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าสิ่งไหนๆ ในชีวิต ให้กับเอ็มในตอนสุดท้าย
พล็อตของหนังเรื่องนี้ไม่มีอะไร หวือหวา และไม่มีแผนฮุบสมบัติอาม่าแบบลับลวงพราง แต่จะเป็นภาพชีวิตประจำวันของเอ็มกับอาม่าเกือบตลอดทั้งเรื่อง
หนังเปิดเรื่องมาด้วยอาม่ากับครอบครัวมาเช็งเม้งด้วยกัน โดยเราจะเห็นลูกของอาม่าทุกคน ได้แก่ “กู๋เคียง (ดู๋ สัญญา)” ลูกชายคนโตของอาม่า “ซิว (สฤญรัตน์ โทมัส)” แม่ของเอ็ม และลูกชายคนเล็ก “กู๋โส่ย (เผือก พงศธร)” ซึ่งทั้ง 3 คน ก็เหมือนภาพแทนครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนสมัยใหม่ ที่แยกกันอยู่คนละบ้าน ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลหรือวันหยุด ก็จะไม่กลับมารวมกัน
เราจะเห็นว่า กู๋เคียง คือลูกชายที่ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าใคร ในขณะที่ซิวเป็นลูกที่พอมีกินมีใช้ แต่ไม่มีอะไรโดดเด่น ส่วนกู๋โส่ยก็เป็นลูกที่เหลวแหลก ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง จึงทำให้กู๋เคียงดูเป็นลูกรักของอาม่า และพี่น้องคนอื่นได้แต่อิจฉา และคอยแซวอยู่ตลอด
แต่ถึง ตัวของกู๋เคียง จะมีทั้งเงินและความพร้อมในการดูแลอาม่ามากกว่าใคร ทว่าหน้าที่ดูแลคนแก่ยามเจ็บป่วยกับตกเป็นของ ซิว ที่เป็นลูกสาว ซึ่งอาจสื่อว่าลูกสาวต้องดูแลพ่อแม่ ดั่งที่เราเห็นในฉากแรกที่อาม่าเข้าโรงพยาบาล แต่ผู้ชายในครอบครัวทุกกลับไม่มีใครว่างมาดูแลเลยสักคน นอกจากซิวเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่พี่น้องคนไหนควรได้มรดกสอดแทรกอยู่ด้วย เพราะจะมีฉากที่ลูกสาว พูดเชิงน้อยใจว่า ตัวเองเป็นคนดูแลพ่อแม่ตลอดเวลาแท้ๆ แต่พอถึงเวลาพวกเขากลับยกมรดกให้ลูกชายง่ายๆ ทำให้เราเห็นว่าการที่คนจีนโปรดลูกชายเกินไป สร้างรอยร้าวทางจิตใจให้กับคนที่เป็นลูกสาวมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะเมื่อลูกสาวแต่งงานออกไป ก็ต้องใช้แซ่อื่น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เป็นปัญหาภายในของครอบครัวจีน ซึ่งหนังก็สะท้อนออกมาตรงๆ แบบไม่ต้องมีมุกตลกมาแทรก จึงไม่แปลกที่หลายคนจะอินหลังจากได้ดูเรื่องนี้
ในตอนแรก เอ็มคิดว่าการไปดูแลอาม่าคือเรื่องง่าย เพราะแค่ไปอยู่ด้วย เอาเงินมาให้ ซื้อของมาฝาก ก็สามารถซื้อใจอาม่าได้แล้ว แต่เมื่ออาม่าไล่เอ็มให้กลับบ้านตั้งแต่วันแรก จึงทำให้เอ็มต้องกลับมานั่งคิดทบทวนใหม่ว่าเขาทำอะไรผิดไป และเมื่อเขาได้คุยกับมุ่ย ที่รวยจากการเป็นลูกรักอางกงได้
จากตัวอย่างหนัง มีประโยคหนึ่งที่ ฮุกใจคนดูได้อย่างแน่นอน นั่นคือฉากที่ มุ่ย พูดกับเอ็มว่า “สิ่งที่คนแก่ต้องการ แต่ลูกหลานให้ไม่ได้คือเวลา”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เอ็มจึงเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น และกลับไปทำคะแนนกับอาม่าใหม่ และครั้งนี้เขาก็ทำได้ดีขึ้น
ซึ่งความดีงามของหนังเรื่องนี้คือ สามารถถ่ายทอดความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นของเอ็มและม่าออกมาได้อย่างงดงาม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทำกิจวัตรประจำวันด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกินข้าว แต่งตัวให้กัน ขายโจ๊ก หรือเดินทางไปโรงพยาบาล ซึ่งทำให้เราเห็นว่า ผู้สูงอายุทุคนล้วนเป็นคนเหงา และต้องการคนมาทำอะไรต่างๆ ด้วยกันเสมอ เพียงแต่พวกเขามักไม่ชอบบอกตรงๆ เพราะกลัวว่าจะรบกวนเวลาลูกหลาน
เชื่อว่าทุกคน ต้องเคยเห็นภาพเพื่อนหรือใครที่ไหนก็ไม่รู้ แสดงความกตัญญู กับคนเฒ่าคนแก่ในบ้านของพวกเขา ไม่ว่าจะจากโลกออนไลน์ หรือโลกความจริง แต่เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า คนเหล่านั้นอาจกำลังทำความดีเพื่อหวังได้สมบัติเหมือนกับตัวละคร “เอ็ม” ใน “หลานม่า” ก็ได้
เพราะ เรื่อง “ทำความดี” กับ “การหวังผลตอบแทน” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอ ยิ่งในสมัยที่ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองไปหมด เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนที่กลับมาหากัน จะมาแบบบริสุทธิ์ใจ 100 เปอร์เซ็นต์จริงๆ
มีอยู่ฉากหนึ่งในตัวอย่างหนัง ที่เอ็มเกิดความสับสน และถามทำนองว่า การหว่านพืชหวังผลแบบนี้ มันผิดไหม? ซึ่งมุ่ยก็ตอบว่า “เราไม่ได้มาทำให้พวกเขาเสียใจ แต่เรามาทำให้พวกเขามีความสุข” ซึ่งคำตอบนี้ก็แล้วแต่ว่าใครคิดต่ออย่างไร แต่ถ้าให้ตีความแบบง่ายๆ มุ่ยอาจบอกเป็นนัยว่า มันไม่สำคัญว่าเราจะหวังอะไร หรือได้อย่างที่หวังหรือไม่ เพราะสุดท้ายเราก็มาทำให้คนแก่มีความสุขในช่วงเวลาสุดท้าย แค่นั้นก็พอแล้ว?
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้จะตัดสินว่า ลูกหลานทุกคนจะหวังฮุบสมบัติจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายเหมือนกันหมด เพราะเชื่อว่ามีหลายครอบครัวดูแลกันจากใจจริง และเชื่อว่า ใครก็ตาม หากได้ลองดูแลผู้สูงอายุ นานๆ ดูสักครั้งในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานแท้ๆ หรือ แค่ทำเป็นอาชีพ ย่อมได้เรียนรู้สิ่งที่มีค่ามากกว่า เงินแน่นอน
เหมือนกับ เรื่องราวของเอ็ม ที่ความคิดและมุมมองค่อยๆ เปลี่ยนไป และตระหนักว่าเวลากับคนในครอบครัว สำคัญยิ่งกว่าเงิน
สรุปคือ หลานม่า เป็นหนังครอบครัว ที่มีคุณค่าในทุกๆ ด้าน อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเล่าเรื่องธรรมดาออกมาได้อย่างละเมียดละไม อบอวลไปด้วยความสุข ความเหงา และความซาบซึ้ง มีงานภาพที่สวยงามซึ่งช่วยถ่ายทอดย่านเก่าแก่อย่างตลาดพลูให้ออกมาดูอบอุ่น เข้ากับเนื้อหาของหนัง
ในเรื่องการแสดง แทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของ บิวกิ้น พุฒิพงศ์ เพราะเขาเล่นเป็นหลานม่าได้อย่างสมบทบาท และประชันฝีมือการแสดงกับแต๋ว อุษา เสมคำ นักแสดงวัย 76 ปีได้อย่างงดงาม จนดูเหมือนหลานกับอาม่าจริง ยิ่งไปกว่านั้นพลังของนักแสดงทั้งสอง ยังดึงให้ผู้ชมรู้สึกเป็นครอบครัวของพวกเขาจริงๆ และทำให้ทุกการกระทำมีเหตุผล มีน้ำหนัก มีผลกระทบ จนอาจทำให้ผู้ชมเสียน้ำตาหลายฉาก
ส่วนคำโปรยของหนังที่เขียนว่า “เรื่องจริงของทุกครอบครัว” นั้น ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย เพราะเรื่องของการเลี้ยงดูคนแก่ไม่ว่าจะหวังผลตอบแทน หรือไม่หวังอะไร รวมถึงเรื่องการแย่งมรดกระหว่างพี่น้องนั้น เป็นเรื่องที่พบได้ในทุกครอบครัวจริง ๆ ซึ่ง “หลานม่า” สามารถสะท้อนทั้งแง่มุมที่ดีและไม่ดีออกมาได้อย่างครบถ้วน ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในครอบครัวจีน หรือครอบครัวไทยก็สามารถอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม หลานม่าอาจไม่ใช่หนังที่เหมาะกับทุกคน เพราะพล็อตเรื่องเน้นนำเสนอภาพชีวิตจริง และเน้นบทสนทนาแบบมนุษย์จริงๆ ซึ่งอาจมีมุกตลกน่ารักๆ ของอาม่ากับหลานเรียกเสียงหัวเราะในบางช่วงได้ แต่จะไม่มีมุกตลกที่ดูเกินจริงเหมือนกับหนังไทยทั่วไป ซึ่งอาจทำให้บางคนเบื่อได้
และใครรู้สึกว่าคนเฒ่าคนแก่ที่บ้านไม่ได้น่ารักเหมือน “อาม่า” ในหนัง ก็อาจจะไม่ชอบไปเลย เพราะเรื่องนี้เน้นความสัมพันธ์ของอาม่ากับลูกหลานตลอดทั้งเรื่อง
สำหรับ SPRiNGNEWS ขอให้คะแนนเรื่องนี้ 10 เต็ม 10 เพราะสะท้อนชีวิตจริงได้ดีมาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง