svasdssvasds

ประวัติศาสตร์การสักลาย จากรสนิยมคนรวย สู่สิ่งที่คนทุกระดับหลงใหล

ประวัติศาสตร์การสักลาย จากรสนิยมคนรวย สู่สิ่งที่คนทุกระดับหลงใหล

ย้อนดูประวัติศาสตร์การสักลาย จากรสนิยมคนรวย สู่สิ่งที่คนทุกระดับหลงใหล กว่าจะมาถึงวันนี้ มีเรื่องราวอะไรบ้าง ?

SHORT CUT

  • ในอดีต การสักไม่ได้ถูกมองในแง่ลบเช่นนี้เสมอไป กลับกัน มันเป็นรสนิยมของคนรวยด้วยซ้ำ
  • ในยุคกลาง (ตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 - 15 ) ผู้คนถือว่าการสักเป็นการบูชาศาสนา ส่วนในญี่ปุ่น ยุคเซ็นโกคุ (ค.ศ. 1467–1615) ชนชั้นสูง ถือว่ารอยสักถือเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องหมายประจำตระกูล
  • ปัจจุบันเป็นเรื่องปกติที่คนจะสักลายเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตหรือเพื่อแฟชั่น แต่ภาพลักษณ์ด้านลบของการสัก ก็ยังคงอยู่

ย้อนดูประวัติศาสตร์การสักลาย จากรสนิยมคนรวย สู่สิ่งที่คนทุกระดับหลงใหล กว่าจะมาถึงวันนี้ มีเรื่องราวอะไรบ้าง ?

ทุกวันนี้ หากคุณเดินไปตามถนน หยุดมองผู้คนในคาเฟ่ หรือแม้แต่ที่ทำงาน คุณอาจเห็น ‘รอยสัก’ ปรากฏอยู่บนร่างกายของใครหลายคน เพราะ ‘การสัก’ กลายเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมในทุกกลุ่มอายุและอาชีพ ตั้งแต่รอยสักเล็ก ๆ ที่แสดงความหมายเฉพาะตัว ไปจนถึงลวดลายขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนร่างกายให้เป็นผืนผ้าใบศิลปะ

อย่างไรก็ตาม ยังมีบางมุมมองในสังคมที่มองว่ารอยสักเป็นสิ่งที่ "ดูไม่ดี" หรือขัดกับมาตรฐานความงามและความเหมาะสม เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากสื่อต่างๆ ที่มักใช้ภาพ คนมีรอยสัก ทแทนภาพกลุ่มอาชญากร กลุ่มผู้มีอิทธิพล หรือคนที่ต่อต้านกฎระเบียบ นอกจากนี้ ในสังคมของการทำงาน ยังมีการอคติว่า รอยสักขัดกับภาพลักษณ์มืออาชีพ เช่น ในสายงานบริการ หรือธุรกิจที่ต้องการความน่าเชื่อถือ

แต่รู้หรือไม่ ในอดีต การสักไม่ได้ถูกมองในแง่ลบเช่นนี้เสมอไป กลับกัน มันเป็นรสนิยมของคนรวยด้วยซ้ำ

ประวัติศาสตร์ของการสักลาย 

ประวัติศาสตร์ของการสักลาย 

ประวัติศาสตร์ของ ‘ศิลปะการสัก’ สามารถย้อนกลับไปได้หลายพันปี ในหลายวัฒนธรรม รอยสักมีความเชื่อมโยงกับพิธีกรรมและความเชื่อทางศาสนา ตัวอย่างเช่น ในอียิปต์โบราณ (3200 ปีก่อนคริสตกาล) ชนชั้นสูงมักมีรอยสักเพื่อการบำบัดรักษา และผูกโยงกับความเชื่อหลังความตาย ซึ่งทำให้ผู้มีรอยสักดูมีค่ามากขึ้นในสายตาของคนรอบข้าง 

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ชาวกรีกและโรมันโบราณ (510 ปีก่อนคริสตกาล – ปี ค.ศ. 476) รอยสักไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก เพราะเป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับ ‘ทาส’ เพื่อบอกว่าพวกเขาเป็นของใคร แต่คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นทาสจะไม่สักตามตัวหากไม่จำเป็น อาจมีข้อยกเว้นบ้าง หรับทหารที่ต้องทำสัญลักษณ์พิเศษเพื่อระบุสังกัดกองทัพ

ต่อมาในยุคกลาง (ตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 - 15 ) ผู้คนถือว่าการสักเป็นการบูชาศาสนา ส่วนในญี่ปุ่น ยุคเซ็นโกคุ (ค.ศ. 1467–1615) ชนชั้นสูง ถือว่ารอยสักถือเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องหมายประจำตระกูลที่มีความสำคัญ ส่วนในยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603 - ค.ศ. 1868) ผู้คนเริ่มมีทัศนคติต่อรอยสักที่แย่ลง เมื่ออาชญากรสักร่างกายของตัวเองมากขึ้น

เป็นที่น่าสังเกตว่ารอยสัก ในอดีตรอยสักเป็นของชนชั้นสูง มากกว่าเป็นของคนทั่วไป และหลังยุคกลางความนิยมของรอยสักในยุโรป ก็ได้เสื่อมสลายไป เป็นเวลาหลายศตวรรษ

การกลับมาของรอยสัก

การกลับมาของรอยสัก

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า รอยสักกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ในยุคสมัยใหม่ ศตวรรษที่ 19 -20 เมื่อการเดินทางรอบโลกกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น กะลาสีเรือหลายคนจึงเริ่มสักลายในสถานที่ห่างไกลเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเขาเคยไปในสถานที่ที่ชาวตะวันตกไม่เคยได้ไป

เช่น ถ้าสักรูปมังกร หมายถึงเคยไปประเทศจีนมา หรือรูปสมอเรือ หมายถึงเคยเดินทางข้าม มหาสมุทรแอตแลนติก หรือสักรูปฉลาม เพื่อโอ้อวดว่ารอดจากภัยอันตรายในทะเลมาได้ ซึ่งเหล่ากะลาสีเรือนี้เอง คือผู้นำเทรนด์การสักให้คนบนแผ่นดินเริ่มทำตาม 

เมื่อเวลาผ่านไป กะลาสีเรือก็ได้ออกแบบรอยสักของตนเอง และแฟชั่นดังกล่าวก็แพร่หลายไปสู่กลุ่มทหารและขุนนาง บุคคลสำคัญในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ต่างก็สักรูปตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในหมู่ผู้ที่มีอดีตเป็นทหารหรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้แต่วินสตัน เชอร์ชิลล์ก็ยังสักรูปสมอไว้ที่แขนของเขา สมาชิกราชวงศ์และขุนนางชั้นสูง เจ้าชายแห่งเวลส์ (ต่อมาเป็นกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 7) และเจ้าชายจอร์จ (ต่อมาเป็นกษัตริย์จอร์จที่ 5) แห่งอังกฤษ ต่างก็มีรอยสักที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางไปเยือนต่างแดน แม้แต่ วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยังสักรูปสมอไว้ที่แขนของเขา

ในช่วงหนึ่งในศตวรรษที่ 20 ผู้ที่สักลายถูกมองว่าเป็นอาชญากร เมื่อวัฒนธรรมบุปผาชน หรือที่เรียกกันว่า ฮิปปี้ (Hippie) เข้ามามีบทบาทในสังคม อย่างไรก็ตามด้วยอิทธิพลของสื่อกระแสหลัก บรรดานักร้อง นักแสดง นักกีฬา รวมถึงรายการโชว์รอยสักในตะวันตก ต่างมีส่วนทำให้รอยสักกลายเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ทำให้รอยสักเป็นเรื่องของศิลปะมากขึ้น

ปัจจุบันเป็นเรื่องปกติที่คนจะสักลายเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตหรือเพื่อแฟชั่น แต่ภาพลักษณ์ด้านลบของการสัก ก็ยังคงอยู่

ที่มา : Certifiedtattoo ,wellcomecollection

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related