Van Gogh Alive Bangkok แค่เฟรมรู้ว่าจะมาเปิดแสดงที่เมืองไทยก็ตื่นเต้นมากๆ เพราะเฟรมได้มีโอกาศไปเยือนสถานที่จริงในเมือง Arles เมืองที่เป็นแรงบันดาลใจในหลายรูปที่มีชื่อมาจนถึงปัจจุบัน
Van Gogh Alive Bangkok คืองานที่รวบรวมผลงานของศิลปินผู้โด่งดังและทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก แต่ในบทความนี้เฟรมจะขอพาทุกคนไปสถานที่จริงพร้อมๆกับพาชมนิทรรศการในโซนต่างๆที่เก็บรายละเอียดมาได้เป็นอย่างดี
Vincent Van Gogh คือศิลปินผู้บุกเบิกงานศิลปะแนว Post-Impressionism ในยุคนั้นเอาจริงๆก็คงแปลกและแตกต่างจากคนในวงการศิลปะเอามากๆ ชีวิตของ Vincent Van Gogh ไม่ได้เป็นที่น่าสนใจ ไม่ใช่คนดัง ไม่ใช่คนสำคัญ (แบบทุกวันนี้)
สำหรับ Van Gogh Alive Bangkok ในห้องแรกที่เดินเข้ามาก็จะมีการพูดถึงประวัติต่างๆที่สำคัญของศิลปินผู้นี้ เพราะฉะนั้นใครที่ไม่เคยได้รู้จักคนคนนี้ ก็สามารถเดินเข้ามาแล้วมาหยุดทำความเข้าใจที่ห้องนี้ก่อนได้ ซึ่งเฟรมมองว่ามันทำให้การเยี่ยมชมห้องถัดๆไปหลังจากนี้มีความลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น และใครที่ชื่นชอบปรัชญา คำคม ห้องนี้เหมาะมาก มีจุดถ่ายรูป คือ “Van Gogh’s Bed Room” จำลองห้องนอนของแวนโก๊ะ ในโทนสีและฝีแปลงอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาสร้างผลงานออกมามากที่สุดในช่วงปี 1880-1890
สำหรับเมือง “Arles” ที่เฟรมบอกว่าจะเล่าแบบควบคู่กันไป ก็เพราะว่าที่นี่เป็นเมืองมรดกโลกที่ทางใต้สุดของฝรั่งเศส และเป็นเมืองสำคัญทางด้านศิลปะ เพราะ “Vincent van Gogh” ได้สร้างผลงานชั้นยอดที่นี่จำนวนมาก เป็นภาพเขียน 200 ภาพ ภาพสเก็ตช์และภาพสีน้ำอีกกว่า 100 ภาพ โดยใช้สีเหลือง สีน้ำเงินเข้ม และสีม่วงอ่อนเป็นหลัก สำหรับ “Van Gogh’s Bed Room” เฟรมได้มีโอกาสไปถึงตึกที่เป็นคล้ายๆอพาร์ทเมนต์ ก็มีป้ายประวัติติดไว้ด้านหน้า แต่ปัจจุบันก็เปลี่ยนเจ้าของแล้วมีคนมาอยู่ตามปกติแล้ว
Gallery Hall เฟรมชอบห้องนี้มากๆ เป็นห้องที่จัดแสดงผลงาน พร้อมประวัติผ่านจอแบบรอบทิศทางรวมถึงพื้นที่เราเดินด้วย ที่น่ารักกว่านั้นคือมีเสียงดนตรีบรรเลงตามช่วงจังหวะของชีวิตทั้งช้า เร็ว เศร้าและน่าตื่นเต้น 1 รอบจะฉายประมาณ 45 นาที โดยระหว่างนั้นก็จะมีคำคมต่างๆที่ Van Gogh เคยถ่ายทอดไว้ทั้งภาษไทยและอังกฤษ เก๋มากๆ ทุกคนจะนั่งลงที่พื้นอย่างสบายกาย และปล่อยใจไปกับความเพลิดเพลินนี้ มุมถ่ายรูป ห้องนี้คือเก๋มาก ตรงไหนก็ชิคสุดๆ
*** คำเตือนถ้าคุณเดินออกจากห้องนี้ไปแล้วไม่สามารถย้อนกลับมาได้ เพราะฉะนั้นอยู่จนกว่าจะพอใจนะคะ***
Van Gogh Old Town เป็นการจำลองบรรยากาศที่แวนโก๊ะได้สร้างสรรค์ผลงานที่มีชื่อเสียงดังก้องโลก
เช่น Starry Night, Sunflowers หรือ Yellow House และ Wheat Fields (สถานที่ที่เขาตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง)
เฟรมขอพูดถึงภาพ “Starry Night Over the Rhone” ในนิทรรศการได้จำลองสะพาน พระจันทร์ และท้องฟ้าตามรูปแบบของแวนโก๊ะ แต่สถานที่จริงเสียดายที่เฟรมไปช่วงกลางวันจึงไม่มี ดางดาวสีเหลืองสกาวกลางท้องฟ้า ดั่งเช่นภาพวาดของแวนโก๊ะ แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป แต่ โค้งน้ำที่ทอดยาว ยังเป๊ะเหมือนจับวาง เอาจริงๆริมน้ำตรงนี้เหมือนเป็นที่พักผ่อนของชาวเมืองเป็นบรรยากาศที่สบายตา และถ้ามองภาพวาดของ แวนโก๊ะ ไปด้วยแล้วก็สบายใจไม่ใช่น้อย
“The Yellow House” สถานที่อาศัยของ“แวนโก๊ะ”ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานมากมาย เช่น ภาพ Van Gogh’s Chair, Bedroom in Arles และที่นี่เองก็ยังใช้เป็นที่โชว์ผลงานที่รวบรวมไว้เยอะมากๆ ภาพเขียนชุดนี้เรียกกันว่า Décoration for the Yellow House ซึ่งนับว่าเป็นโครงการที่ทะเยอทะยานที่สุดในชีวิตของแวนโก๊ะ เพื่อรอต้อนรับเพื่อนศิลปินที่ชื่อว่า “โกแก็ง”
“Sunflowers” ในรูปของแวนโก๊ะอาจจะมีแค่เพียง 1 แจกัน แต่ในนิทรรศการก็ขนมาทั้งทุ่ง ห้องนี้เป็นห้องกระจกที่ถ่ายรูปเดี่ยวก็จะได้รูปหมู่ (เพราะจะมีคนตลอด ต้องหามุมดีดี)
และโซนสุดท้ายเป็นโซนที่มีกิจกรรมจัดไว้ให้ผู้ร่วมงานได้ทดลองสัมผัสความเป็น แวนโก๊ะมากยิ่งขึ้น
อย่าง ‘Letter to Theo’ ห้องจดหมายถึงน้องชายสุดที่รักของแวนโก๊ะ (วาดภาพสุดท้ายก่อนจากโลกนี้ไป) ‘Drawing Room’ ห้องสอนวาดภาพสไตล์แวนโก๊ะ ที่มีไกด์ให้เราวาดตามไม่ยาก แต่เฟรมทำไมได้ ใช้เวลารอบละ 10 นาที ส่ววนใครที่อยากวาดแบบแสดงฝีมืออย่างจริงจังต้อง ‘Art Class’ เวิร์กช็อปสอนวาดภาพ ใช้เวลาประมาณ 60-90 นาที และ ‘AI Interactive Room’ ห้องที่จะเปลี่ยนรูปถ่ายคุณให้กลายเป็นภาพวาดสไตล์แวนโก๊ะ ในเวลาเพียง 3 วินาที
ก่อนออกไปยังมีอีกสถานที่ที่ปัจจุบันยังมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมและแวะเวียนไปเสมอ นั่นก็คือ “Café Terrace at Night” ค่าเฟ่สีเหลืองที่ซ่อนอยู่ในซอย แต่ก็ยังโดดเด่นด้วยสีเหลืองสะดุดตา ถ้านับตั้งแต่ปี 1888 สีก็ไม่น่าสดขนาดนี้ แต่จากการสอบถามก็คือ เจ้าของร้านจะยังคอยทาสีให้คงอยู่ดั่งรูปตามเดิมและที่นั่งภายในร้านก็มักจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่อยากจะดื่มด่ำกับกลิ่นกาแฟ พร้อมๆกับสถานที่ในประวัติศาสตร์ แต่ก็มีตลกร้ายตรงที่ ... จริงๆแล้งแวนโก๊ะ อาจจะนั่งร้านข้างๆเพราะเป็นวิวที่มองเข้ามาจากร้านอื่น แฮร่ !
ภายในนิทรรศการจะเป็นการจำลองโดยมีป๊อปอัพคาเฟ่จากร้านขนมหวานชื่อดังอย่าง After You มีเมนูพิเศษให้ได้ลองอย่าง Iced Horlicks เครื่องดื่มมอลต์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพวาด Wheat Fields with Crows
ขอต่อท้ายสำหรับเมือง “Arles” อีกนิดนะคะ นอกเหนือจากการตามหาสถานที่ในภาพวาดของฝีมือศิลปินเอกของโลกแล้ว ระหว่างทางที่เราได้สัมผัสกับเมืองนี้ก็น่าทึ่งหลายอย่าง มีประวัติศาสตร์มากมายกระจายอยู่ทุกพื้นที่
อย่าง Amphitheatre d’Arles หรือ Roman arena หรือโรงละครที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 80 ว่ากันว่าเมื่อครั้งที่อาร์ลส์ถูกภัยสงครามรุกราน ชาวเมืองต้องเข้ามาหลบภัยกันที่นี่ ใครเห็นก็ว่าคุ้นตาคล้ายกับที่กรุงโรม ใช่ค่ะ เพราะที่นี่ใช้ช่างชุดเดียวกันกับที่ โรม แต่ที่นี่ใช้เวลาสร้างน้อยกว่า เพียง 10 ปี เท่านั้นเนื่องจากที่นี่ใช้หินที่มีขนาดใหญ่กว่า และเป็นหินปูนต่างจากที่โรมที่ใช้ หินอ่อน ในสมัยก่อนใช้เพื่อการต่อสู้ของนักรบเป็นเกมส์กีฬา แต่บางคู่ก็เอากันถึงตายเลยนะ เพราะชนชั้นทาสถ้าสู้ชนะก็จะรอดและในปัจจุบันใช้เป็นที่สู้วัวกระทิงที่จัดขึ้นในฤดูร้อนของทุกปี
และยังมีของเก่ากว่านั้นจะเห็นว่าเป็น theatre รูปครึ่งวงกลม สร้างก่อน Amphitheatre กว่า 200 ปี แต่พอถึงยุครุ่งเรืองแล้วมีผู้ชมเยอะก็เลยต้องขยายและย้ายพื้นที่ไป Amphitheatre ที่ใหญ่และอลังการกว่าม๊ากกกกก
มาถึงเมืองแล้วก็อย่าลืมแวะที่จตุรัสกลางเมือง ที่มีทั้งหอนาฬิกา ศาลาว่าการของเมือง และยังมีโบสถ์แซงค์โทรแปงค์ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ คศ. ที่ 3 ภายในโบสถ์สวยงามและยังคงความเก่าดั้งเดิมไว้ได้ครบถ้วนมากๆ
สถานที่ เรื่องเล่า และประวัติศาสตร์ ทำให้การท่องเที่ยวของเราสนุกขึ้นมากจริงๆ
สำหรับ Van Gogh Alive Bangkok ทำให้ลิ้นชักแห่งความทรงจำเมื่อครั้งเรายืนอยู่ตรงนั้นกลับมาได้อย่างชัดเจน ยังจำอากาศ กลิ่น และรสชาติของเครื่องดื่มอุ่นๆที่ถืออยู่ในมือได้เลย
นิทรรศการ ‘Van Gogh Alive Bangkok: I dream my painting, and then I paint my dream’
เริ่มจัดแสดงจริงวันที่ 31 มีนาคม – 31 กรกฎาคมนี้ ณ ชั้น 6 ไอคอนสยาม
ทุกคนสามารถติดตามการเดินทางครั้งต่อไปของเฟรมได้ที่นี่ Lifestyle Spring หรือทักทายกันได้ที่ IG:famframe
“พิธีกรที่หลงรักการเดินทาง เพื่อพบเจอ พูดคุย และได้ใช้กล้องที่รักเวลาออกทริป” by famframe