"หุบเขา หิมะขาว และทุ่งหญ้าเขียว" ฟังแล้วเหมือนเมืองในฝันจากการ์ตูนดิสนีย์สักเรื่อง แต่ต่าง ตรงที่สถานที่กล่าวมานั้นมีอยู่จริง ในประเทศที่เป็นหมุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่าง Switzerland
และในครั้งนี้เฟรมขอพาทุกคนไปแฝงตัวเป็นนักสกี ขึ้นเขาชื่อดังที่ทุกคนต่างคุ้นตาอย่าง
Matterhorn หรือ เทือกเขาที่อยู่บนหีบห่อช็อกโกแลตดัง “Toblerone” แต่ถ้าสายดูหนังก็ต้องคุ้นตากับ ไตเติ้ลก่อนเข้าเรื่องอย่าง “Paramout Picture”
“Zermatt” ได้ชื่อว่าเป็น เมืองปลอดมลพิษแห่งสวิสเซอร์แลนด์ ก็เพราะว่าการที่เราจะเดินทางไปที่เมืองนี้ได้นั้นมีแค่ทางเดียวคือ “นั่งรถไฟ” เท่านั้น เพราะที่เมืองนี้ห้ามรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงที่มีการเผาไหม้ หรือปล่อยควันเข้ามาในเมืองเด็ดขาด (Car-Free Zone) การสัญจรที่เมืองนี้จึงมีแค่รถไฟฟ้า หรือ รถม้าเท่านั้น ซึ่งมันเก๋มากนะที่เมืองท่องเที่ยวระดับโลกจะสามารถทำแบบนี้ได้จริง จึงทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองพักผ่อน หรือ “ตากอากาศ” ที่ อากาศนั้นเหมาะแก่การสูดลมหายใจให้เต็มปอดจริงๆ จึงเป็นเมืองแห่ง Activity ของประเทศเมืองหนาวอย่างการสกีเพราะที่นี่มีเส้นทางที่สวยมากคือ จุดเริ่มต้นที่ “Matterhorn” ยาวลงมาที่ “Zermatt”
“Zermatt” เป็นเมืองที่โด่งดังมากสำหรับนักสกี เพราะที่นี่มีความท้าทาย ที่เรียกกันว่าเส้นทาง “สวยซ่อนพิษ” นั้นแปลว่าถึงเส้นทางนี้จะสวยมากแต่ก็มีความอันตรายมากเช่นกัน จนที่เมืองนี้มีป้ายชื่อที่เป็นอนุสรณ์สุดท้ายของนักสกีที่จบชีวิตลงที่นี่อยู่กลางเมืองเลยหละ แต่ถึงแม้สิ่งที่เฟรมเล่ามันอาจจะดูน่ากลัว แต่ถ้าถามนักสกีว่าอยากจะมาสกีที่เขาแห่งนี้ไหม ทุกคนก็ยังคงจะตอบว่า “อยาก” อยู่ดี รวมถึงเฟรมที่ถึงแม้จะสกีไม่เป็นก็อยากจะมาที่เมืองให้ได้สักครั้งนึงในชีวิต
อย่างที่เฟรมเกริ่นไว้ว่าที่นี่ไม่สามารถนำรถยนต์ขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นเฟรมขอพาทุกคนเริ่มการเดินทางทริปนี้ด้วยรถไฟสาย Glacier Express ซึ่งชื่อของเขาคือรถด่วนนะ แต่ด้วยบรรยากาศข้างทางที่สวยงามจึงทำให้เรารู้สึกว่า “ไม่เห็นด่วนสมชื่อสักเท่าไหร่” แต่กลับเป็นว่าเราโอเคๆกับอัตราความเร็วที่ช้าลงมากว่าที่ควรจะเป็นมากๆ เราเริ่มขึ้นรถไฟที่เมือง Täsch ซึ่งเป็นสถานี้สุดท้ายแล้วที่จะสามารถขึ้นไปที่เมือง “Zermatt” ได้
บรรยากาศของรถไฟสายนี้ที่ต่างจากรถไฟทั่วไปที่เฟรมสังเกตได้ก็คือ บานกระจกที่ใหญ่มากๆ ตั้งแต่ที่นั่งขึ้นไปจนถึงหลังคา จึงทำให้เรามองเห็นทิวทัศน์ของสองข้างทางได้อย่างเต็มตา เนื่องจากเราเลือกนั่งจากสถาณีที่ใกล้ที่สุดจึงใช้เวลาเพียงครู่ก็ถึงเมือง “Zermart” แล้ว ใครที่จะมาไม่ต้องกลัวหลงเพราะนี่คือสถานีสุดปลายทางของรถไฟสายนี้แล้ว
รถไฟจอดเทียบท่า ไม่รอช้าเรารีบเข็นกระเป๋าด้วยความตื่นเต้น ก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อลงมาเห็นป้ายต้อนรับที่มีภาษาไทยตัวใหญ่รออยู่ (จริงๆแล้วก็มีหลายภาษาเลยหละ แต่ดีใจไงที่มีประเทศไทยอยู่ด้วย)
อย่างที่เฟรมเกริ่นไว้ว่าที่เมืองนี้ไม่มีรถยนต์เพราะฉะนั้นการสัญจรของที่นี่จะเป็นรถไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่เริ่มต้นค่าบริการประมาณ 10 CHF (300 บาท) ถือว่าค่อนข้างแพง ตามคำบอกเล่าที่ว่า “ค่าครองชีพที่สวิสเซอร์แลนด์ สูงที่สุดในโลก” เฟรมจึงเลือกโลเคชั่นของโรงแรมที่เดินทางสะดวก ไม่ว่าจะเดินทางในเมือง หรือเดินทางไปที่สถานีรถไฟ (เดินทางในที่นี้หมายถึงเดินเท้านี่แหละค่ะ) โรงแรมของเฟรมอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเพียงไม่ถึง 100 เมตร (ออกจากสถานีรถไฟแล้วเลี้ยวขวา) เฟรมขอแปะชื่อโรงแรมไว้ให้เผื่อทุกคนจะตามมากันได้นะคะ(โรงแรมชื่อ Schweizerhof Zermatt)
เมือง ผู้คน และความเป็นอยู่
“Zermart” เป็นเมืองท่องเดียวและเมืองสกีที่ดังที่สุดใน สวิสเซอร์แลนด์ แต่ขนาดเมืองไม่ใหญ่มาก และยังคงความหมู่บ้านชนบทของ สวิสเซอร์แลนด์ ได้เป็นอย่างดี ดูจากลักษณะของที่อยู่อาศัยยังคงเป็นบ้านไม้ สไตล์สวิสชาเลต์ (Swiss Chalet) เป็นตึกกึ่งไม้กึ่งปูน ที่จะมีระเบียง พร้อมกับกระถางต้นไม้สีสันสดใสอยู่แทบทุกแห่ง ถึงแม้ว่าเมื่อนักท่องเที่ยวจะมากขึ้น โรงแรมต่างๆที่อยู่ในโซนสร้างใหม่ก็จะสร้างในแนวเดียวกัน ซึ่งตรงนี้เฟรมเองก็ไม่แน่ใจว่าเขามีกฎบังคับหรือไม่ แต่ภาพรวมของเมืองช่างออกมาได้ดีเข้ากับธรรมชาติที่ควรจะเป็นสุดๆ
ในเมืองนี้ถึงจะไม่ใหญ่มากแต่ถ้าคุณอยากได้อะไรเขาก็มีให้ โรงแรมระดับ 5 ดาว ร้านอาหารมิชลินไกด์ รวมถึงบาร์ คาเฟ่ หรือแม้กระทั่งแหล่งช๊อปปิ้งแบรนด์เนมหรู shop นาฬิกาแบรนด์สวิส ก็มีครบ
ประชากรของเมืองนี้ไม่หนาแน่น ที่แน่นกว่าก็คงจะเป็นนักเดินทางที่ปักหมุดกันมาจากทั่วสารทิศ
ในช่วงที่เฟรมไป คนในพื้นที่บอกว่า เป็นช่วงที่อากาศกำลังดี ไม่หนาว และไม่ร้อนจนเกินไปสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย
“Matterhorn” ถ้าเขางอล ก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอ
หนึ่งสิ่งที่ทำให้เมืองนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกก็คือยอดเขา “Matterhorn” ยอดเขารูปสามเหลี่ยมที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ ที่ปรากฏบนสินค้าระดับโลกอย่าง “Toblerone” หรือค่ายหนังชื่อดังอย่าง “Paramout Picture”
ซึ่งเจ้ายอดเขาเนี้ย บางครั้งนึกจะหยิ่งก็อย่าหวังจะได้เจอ เพราะมันสูงถึง 4,478 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จึงทำให้ในบางช่วงจะมีหมอกหนา หิมะบัง อากาศไม่เป็นใจก็จะไม่มีทางได้เห็น บางคนมาอยู่เมืองนี้ เป็นสบิวันก็ยังไม่มีโอกาสได้พบ บางคนบอกว่า เขาขี้อาย แต่เฟรมว่า เขาขี้งอล ไม่ต่างจาก ยอดเขาฟูจิ นั่นแหละ เฟรมอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน จึงคิดว่าอย่างน้อยขอสักวันที่ได้เจอ แต่ด้วยบุญที่เราสะสมมาเยอะ “Zermatt” ครั้งแรกของเฟรมจึงได้เห็น “Matterhorn” ตั้งแต่วันที่มาถึงจนถึงวันกลับ ช่างหน้าหมั่นไส้ไหมละ
ที่จริงแล้วถ้าคุณพักที่เมือง “Zermatt” คุณสามารถเลือกที่พักที่แค่เปิดหน้าต่างออกมาก็จะเห็น “พระเอกยอดสามเหลี่ยม” ได้ตลอดเวลา แต่ก็อาจจะต้องแลกกับราคาค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น รวมถึงจุดชมวิวในเมืองก็จะมีแหล่งยอดนิยมหรือ photo spot ให้รอกดชัตเตอร์อยู่เยอะ แต่ในเมื่อเรามาถึงตีนเขาขนาดนี้แล้ว จะไม่ขึ้นไปเหยียบจมูกซะหน่อยหลอ
รถไฟจะ “Matterhorn” ต้องเตรียมใจก่อน เพราะสวยจนลืมหายใจ
การที่เราพยายามขึ้นไปให้ใกล้กับความสูงของ “Matterhorn” มากที่สุดมี 3 วิธีด้วยกัน
คือ 1. กระเช้า Matterhorn Express ตัวเลือกนี้จะไปได้สูงสุด และใกล้สุด 2. รถไฟ gornergrat bahn และ 3. รถราง Sunnegga + กระเช้า + เดินชมทะเลสาบ (นิยมในฤดูร้อน)
เฟรมเลือกเป็นข้อ 2 คือ รถไฟ ที่ต้องไปขึ้นที่สถานี “Gronergrat Bahn the Matterhorn Railway” ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟที่เราขึ้นมานั่นเอง และที่เลือกวิธีนี้ก็เพราะว่า เป็นความสูงที่กำลังถ่ายรูปสวย และมีร้านอาหาร รวมถึงจุดถ่ายรูปสำหรับนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ
“นั่งฝั่งขวานะ จำไว้” นี่คือคำพูดที่คนท้องถิ่นแนะนำกับเรา พอถึงสถานีไม่รอช้าที่จะรีบเดินเข้าไปจับจองที่นั่งในฝั่งขวา แต่หันซ้ายหันขวา รถไฟทั้งขบวนนี้ 90% คือคนที่แบกสกีและแต่งตัวจัดเต็มเพื่อไป ไถสกีลงมาจาก “Matterhorn” มีเพียงเราชาวไทยที่แบกกล้องพร้อมใจเพื่อไปถ่ายรูป
นั่งลงยังไม่ทันจัดที่จัดทางดี รถไฟก็แล่นออกจากชานชาลา และหลังจากนั้นก็เหมือนต้องมนต์สะกด เฟรมพูดคำว่า สวย สวยมาก สวยจัง แบบไม่หยุดปาก พลันหยิบกล้องถ่ายภาพ กล้องวีดีโอ กล้องมือถือ จนมือพันกันไปหมด แต่เฟรมจะบอกว่า มาเห็นด้วยตาอย่างไงก็ดีกว่าดูรูปจากคนอื่น
อ๋ออออ “นี่สินะฝั่งขวา” เฟรมนึกในใจ เพราะฝั่งนี้เป็นฝั่งที่เราจะเห็น แสงวิววับ ระยิบระยับ เมื่อแดดกระทบกับหิมะ ตลอดทางที่มี “Matterhorn” เป็นแบคกราวอยู่ด้านหลัง เมื่อเราไต่เขาสูงขึ้นเรื่อยๆเราก็จะเห็น พระเอกของเรา ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆตามมา นั่งได้ไม่นานยังไม่ทันหายตื่นเต้น (ประมาณ 30 นาที) ก็ถึงจุดหมายที่เราอยากมาเช็คอินนั่นก็คือสถานีสุดท้ายของรถไฟสายนี้ “Gronergrat”
“Gronergrat” คือสถานีจุดหมายปลายทางที่สูงที่สุดในสายนี้ ที่ความสูง 3,089 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นักสกีต่างรีบลุกไปหยิบอุปกรณ์คู่ใจ ส่วยเรานั้นไซร้ได้แค่คว้ามือหวานใจก็พอแล้ว
จุดนี้คือ Photo spot ที่คุ้มค่า คุ้มราคาที่สุดแล้วในทริปนี้ ท้องฟ้าสีคราม ตัดกับยอดเขาสีขาว กับแสงแดดสีเหลืองนวล ทุกอย่างช่างเป็นใจ ใครก็จะอะไรก็สามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ บ้างก็เตรียมตัวเดินเท้าลงไปผจญภัย บ้างก็เตรียมอุปกรณ์คู่ใจให้พร้อม บ้างก็ยึดตรงนี้เป็นเส้นชัยในการพิชิตยอดเขาได้สำเร็จ ส่วนเราหนะหรอ ขอแค่ช็อกโกแลตอุ่นๆสักแก้ว แล้วนั่งดื่มด่ำกับวิวตรงหน้าก็พอแล้ว
แต่ไม่นานเราก็คงต้องจากเมืองนี้ไปต่างจากเมืองอื่นๆที่เราเคยแวะเวียนไปเยี่ยมเยียน แต่แปลกที่ภาพของเมืองนี้ยังชัดเจน ถึงแม้ตอนนี้ที่เฟรมได้นั่งเล่าออกมาเป็นบทความชิ้นนี้ ภาพแห่งความสวยงามในวันนั้นก็ยังคงตราตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ ... และหวังว่าคงจะมีโอกาสได้กลับไปยังเมืองอันแสนอบอุ่นแห่งนี้อีกครั้ง “Zermatt Switzerland”
เมืองกลางหุบเขา แต่ไม่เหงาเพราะมีธรรมชาติคอยโอบกอด ที่ Zermart Switzerland
ทุกคนสามารถติดตามการเดินทางครั้งต่อไปของเฟรมได้ที่นี่ Lifestyle Spring
“พิธีกรที่หลงรักการเดินทาง เพื่อพบเจอ พูดคุย และได้ใช้กล้องที่รักเวลาออกทริป” by famframe