svasdssvasds

ประชุม WEF 2025 ณ เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ทำเที่ยวบินเจ็ทส่วนตัวพุ่ง 170%

ประชุม WEF 2025 ณ เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ทำเที่ยวบินเจ็ทส่วนตัวพุ่ง 170%

เราจะยั่งยืนได้อย่างไร ในขณะที่พวกคุณเดินทางมาประชุมด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวกันฉ่ำแบบนี้! นักเคลื่อนไหวกรีนพีซ เรียกร้องในการประชุม World Economic Forum 2025

แม้จะมีเสียงเสียงร้องให้นักการเมืองและผู้นำทางธุรกิจเดินทางเข้าร่วมการประชุม WEF 2025 ในเมืองดาวอสของสวิตเซอร์แลนด์ อย่างยั่งยืนมากขึ้น แต่กลับพบว่าจำนวนเที่ยวบินเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ทะยานขึ้นถึง 170%

 

ในขณะที่การประชุม World Economic Forum (WEF) ประจำปี 2025 เริ่มต้นขึ้นในเมืองดาวอส บรรดาผู้นำระดับโลก ซีอีโอและผู้นำทางธุรกิจต่างเดินทางมายังสวิตเซอร์แลนด์พร้อมกันนับร้อยคน แต่พวกเขาเหล่านี้เดินทางไปที่นั่นได้อย่างไร?

WEF เรียกร้องให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุม พิจารณาการเดินทางที่มีความยั่งยืนมากขึ้นในปีนี้ ด้วยบริการรถไฟฟรีและจัดเตรียมแผ่นรองเท้ากันลื่นหิมะไว้ เพื่อสนับสนุนให้เหล่าผู้แทนเดินแทนการขับรถไปรอบ ๆ สถานที่จัดการประชุม แต่ตัวแทนเหล่านี้รับฟังและเลือกโซลูชั่นการขนส่งที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับดาวอสหรือไม่

Cr. Reuters

เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวมุ่งหน้าสู่ดาวอสกี่ลำในปี 2025?

เว็บไซต์ Flightradar24 เว็บไซต์ติดตามเที่ยวบิน เปิดเผยว่า กิจกรรมของเครื่องบินโดยสารส่วนตัวที่สนามบินรอบ ๆ เมืองดาวอส เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2 -3 วันที่ผ่านมา

ข้อมูล ระบุว่า มีเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว 54 ลำลงจอดที่สนามบินในเมืองซูริก ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบินขนาดใหญ่ที่ใกล้กับเมืองดาวอสที่สุด เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 170% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงสัปดาห์ก่อน

โฆษกของสนามบินซูริกให้สัมภาษณ์กับ Euronews Green ว่า ในช่วงก่อนและระหว่างการประชุม WEF พบความเคลื่อนไหวของเที่ยวบินเพิ่มเติม ราว 1,000 เที่ยว ซึ่งอาจเป็นเครื่องบินเจ็ทสำหรับธุรกิจ อากาศยานที่ใช้ในราชการหรือเที่ยวบินเฮลิคอปเตอร์

ส่วนสนามบินอื่น ๆ ที่มักเป็นจุดหมายปลายทางของผู้แทนดาวอส ได้แก่ เซนต์ โมริตส์, ฟรีดริชส์ฮาเฟินและเซนต์กัลเลิน-อัลเทิร์นไฮม์ ล้วนพบกิจกรรมการใช้เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวที่สูงกว่าปกติในวันจันทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองฟรีดริชส์ฮาเฟิน ซึ่งมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวลงจอดมากกว่าค่าเฉลี่ยถึง 33%

Cr. AFP

เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวที่มีเที่ยวบินยาวที่สุดเดินทางมาจากไคลูอา-โคน่าในรัฐฮาวายของสหรัฐฯ ดำเนินการโดย บริษัทผู้ให้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำ NetJets ด้วยระยะทาง 12,404 กิโลเมตร และบินเป็นเวลา 14 ชั่วโมง 40 นาที มุ่งหน้าสู่เมืองซูริก

เที่ยวบินที่ใช้เวลาเดินทางยาวนานอื่น ๆ มาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย, เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตันของสหรัฐฯ และกรุงปักกิ่งของจีน แม้จะบอกไม่ได้อย่างชัดเจนว่า ผู้โดยสารบนเที่ยวบินเหล่านี้มุ่งหน้าไปยังดาวอสทั้งหมดหรือไม่

เที่ยวบินหลายเที่ยวบินอยู่ในรัศมีไม่เกิน 500 กิโลเมตร รวมถึง เที่ยวบินจากเมืองเจโนวาของอิตาลีและเที่ยวบินจากกรุงปารีสของฝรั่งเศส หรือแม้แต่เที่ยวบินจากเมืองมิลานของอิตาลีที่บินเป็นระยะทางเพียง 204 กิโลเมตร เพื่อไปยังสนามบินซูริก

เป็นไปได้ยากที่จะบอกว่าเที่ยวบินใดบ้างที่มีผู้แทนของดาวอสโดยสารมาด้วย เนื่องจากเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวส่วนใหญ่ให้บริการโดยบริษัทเช่าเหมาลำ แต่เจ้าหน้าที่บางส่วนใช้อากาศยานที่ใช้ในราชการ ทำให้ระบุได้ง่ายกว่าว่ามาจากประเทศใด

Cr. Reuters

รายงานจากภาคพื้นดินแสดงให้เห็นว่า ความเสียหายไม่ได้สิ้นสุดเสมอไปเมื่อเครื่องบินเจ็ทเหล่านี้ลงจอด เนื่องจากผู้ร่วมประชุมจำนวนมากขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังเมืองดาวอส ซึ่งเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับการประชุมครั้งนี้

ขณะที่นักเคลื่อนไหวของกรีนพีซได้ปิดกั้นการเข้าถึงลานจอดเฮลิคอปเตอร์ดาวอส ลาโก และบุกเข้าไปในห้องประชุมใหญ่ เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปที่อนุญาตให้มีการเก็บภาษีที่เป็นธรรมจากความมั่งคั่งของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

“เดนิส ออแคลร์” (Denise Auclair) ผู้อำนวยการของ Travel Smart Campaign เอ็นจีโอด้านการขนส่งและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า การเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไปยังดาวอสพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในปีนี้ แม้ว่า WEF จะเพิ่มความพยายามในการอำนวยความสะดวกให้ผู้เข้าร่วมการประชุมเลือกวิธีที่ประหยัดพลังงานมากขึ้นในการเดินทาง

นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า การดำเนินงานเกี่ยวกับเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวและการเดินทางอย่างยั่งยืนควรได้รับการหยิบยกขึ้นมานำเสนออย่างตรงไปตรงมาในวาระการประชุมในสัปดาห์นี้ และ WEF จำเป็นต้องพิสูจน์ว่า แทนที่จะเป็นผู้มีส่วนในการเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว แต่ WEF สามารถเริ่มต้นการแก้ปัญหาเพื่อให้ดาวอสเป็นผู้นำด้วยการเป็นตัวอย่างได้

เหตุใดฝ่ายต่าง ๆ จึงไม่ลดการเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว?

สำหรับผู้นำทางธุรกิจและนักการเมือง มักยกเรื่องเวลามาเป็นเหตุผลในการไม่เดินทางด้วยรถไฟ และการใช้เครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ทำให้มาถึงสถานที่จัดงานเร็วขึ้นและมีเวลาในการทำงานมากขึ้น

แม้ข้อโต้แย้งดังกล่าวจะพอฟังขึ้นสำหรับผู้ร่วมประชุมที่เดินทางมาไกล เช่น จากรัฐฮาวายหรือรัฐอื่น ๆ ในสหรัฐฯ แต่ก็ยังมีทางเลือกในการเดินทางด้วยเที่ยวบินพาณิชย์เสมอ โดยรายงานของ Transport and Environment ระบุว่า ผู้บริหารระดับสูงที่บินจากสหรัฐฯ ไปยังสวิตเซอร์แลนด์ สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 87% ด้วยเที่ยวบินพาณิชย์

แต่ในการเดินทางระยะสั้น ข้ออ้างจะยิ่งอ่อนลง เช่น การเดินทางจากมิลานด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวที่จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และ 3 ชั่วโมง 12 นาทีโดยรถไฟ แต่บนรถไฟมีโต๊ะขนาดใหญ่และ WiFi อำนวยความสะดวกต่อการทำงานระหว่างการเดินทาง

ก่อนหน้านี้เอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อมหลายแห่งเขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ผลักดันการเดินทางที่ยั่งยืนสำหรับ Davos 2025 โดยระบุว่า การใช้เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเป็นสัญลักษณ์แห่งความไม่เท่าเทียมกันของทรัพยากรทั่วโลกและความพยายามในการจัดการกับภัยคุกคามที่มีต่อดาวเคราะห์ดวงนี้ พร้อมเสริมว่า เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวที่เดินทางไปยังดาวอสเป็นการส่งข้อความว่าบริษัทใหญ่ระดับโลกขาดความตั้งใจและความรับผิดชอบที่แท้จริงในการเปลี่ยนแปลงที่ง่ายดายเพื่อช่วยให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกอยู่ต่ำกว่าระดับ 1.5 องศาเซลเซียส

Cr. Reuters

เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด?

เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเป็นวิธีการขนส่งผู้โดยสารต่อกิโลเมตรที่ก่อให้เกิดมลพิษมากที่สุด แม้จะมีการผลักดันให้เกิดการใช้ทางเลือกที่ยั่งยืน แต่มหาวิทยาลัย Linnaeus ของสวีเดนพบว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเพิ่มขึ้น 46% ระหว่างปี 2019 ถึงปี 2023

ศาสตราจารย์สเตฟาน กลอสลิง (Stefan Gossling) จากมหาวิทยาลัย Linnaeus ระบุว่า มีคนจำนวนมากที่ใช้เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเหล่านี้เป็นแท็กซี่ ซึ่งเดินทางด้วยเครื่องบินได้ไม่ว่าจะมีระยะทางเท่าใดก็ตาม เพียงเพราะมีความสะดวกสะบายมากกว่า พร้อมเสริมว่า หากเที่ยวบินของใครสักคนปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน 1 ชั่วโมงมากเท่ากับมนุษย์คนอื่น ๆ โดยเฉลี่ยใน 1 ปี เพียงเพื่อไปชมเกมฟุตบอล ก็อาจแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านั้นคิดว่าตัวเองอยู่นอกมาตรฐานที่มีในฐานะชุมชนระดับโลก

ในปี 2023 เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 15.6 ล้านตัน เทียบเท่ากับการขับรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นระยะทางเกือบ 40,000 ล้านไมล์ แม้ว่าคิดเป็นราว 1.8 % และไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าก๊าซดังกล่าวผลิตโดยกลุ่มคนจำนวนไม่มากก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่

หากมองในแง่ดี อุตสาหกรรมการบินโดยรวมมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกประมาณ 4% ต่อปี

ขณะที่การศึกษาเที่ยวบินเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว 19 ล้านเที่ยวบิน ในระหว่างปี 2019 ถึงปี 2023 พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งครอบคลุมการเดินทางเป็นระยะทางสั้น ๆ ไม่ถึง 500 กิโลเมตร

รายงานจากสหพันธ์การขนส่งและสิ่งแวดล้อมแห่งยุโรป (European Federation for Transport and Environment) ในปี 2021 ยังพบว่า เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวก่อให้เกิดมลพิษของผู้โดยสารต่อคนมากกว่าเที่ยวบินพาณิชย์ราว 5 – 14 เท่า และก่อให้เกิดมากกว่ารถไฟ 50 เท่า

นอกจากนี้ยังมีการปล่อยก๊าซที่ไม่ใช่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาเช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันมีรายงานอยู่ในระดับที่น้อย

Cr. Reuters

สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ระบุว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงเครื่องบินประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), ไอน้ำ (H2O)} ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx), ซัลเฟอร์ออกไซด์ (SOx), คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO), เขม่า (PM 2.5), ไฮโดรคาร์บอนที่เผาไหม้ไม่หมด (UHC), ละอองในอากาศและสารประกอบไฮดรอกซิล (-OH)

สารเคมีเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศที่ระดับความสูงที่สูงมาก โดยปกติแล้วจะอยู่เหนือระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 8 กิโลเมตรถึง 13 กิโลเมตร และเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวยังบินได้สูงกว่าเที่ยวบินพาณิชย์ ทำให้สารประกอบสะสมไว้สูงในชั้นบรรยากาศ

ผลที่ตามมาของการปล่อยมลพิษเหล่านี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แม้จะมีการศึกษาในปี 2021 ที่เสนอแนะว่า ผลกระทบของการปล่อยก๊าซที่ไม่ใช่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อาจมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียงอย่างเดียวถึง 4 เท่า

หลักฐานทั้งหมดชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงบวกจากการลดการเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว แต่ในขณะที่ผู้นำโลกยังคงให้ความสำคัญกับเวลาของตัวเองมากกว่าอนาคตของส่วนรวม ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้

ที่มาข้อมูล

Euronews

related