SHORT CUT
หลังจากนี้ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม จะไม่มีรถม้าที่ใช้ "ม้า" ในการลากเลื่อนอีกต่อไป แต่จะหันไปใช้พลังงานไฟฟ้าแทน ไม่ต้องใช้แรงงานม้า ตอบโจทย์ความยั่งยืน
กรุงบรัสเซลส์ ในเบลเยียม เปลี่ยน ‘รถม้า’ ในเมือง เป็น ‘รถม้าพลังงานไฟฟ้า’ (Electric Carriage) หลังถูกครหาว่าใช้แรงงานสัตว์มานานหลายปี หลังจากนี้ (อาจ) ไม่เห็นม้าวิ่งเกลื่อนเมืองอีกแล้ว
รถม้าคือยานพาหนะที่เฟื่องฟูเป็นอย่างมากตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 – 20 จนถึงขั้นนักประวัติศาสตร์เรียกขานว่า “ยุครถม้า” หลังจากนั้นรถม้าก็ซบเซาไปเนื่องจากถูกรุกคืบจากเทคโนโลยีที่เรียกว่า “รถยนตร์”
บรัสเซลส์เป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองในโลกที่ยังใช้รถม้าอยู่ แต่ใช้ในกรอบของภาคการท่องเที่ยว หมายความว่า “ธุรกิจรถม้า” จะถูกใช้เพื่อพานักท่องเที่ยวนั่งทัวร์ละเมียดความสวยงามของเมือง สถาปัตยกรรมเก่าแก่ เพียงเท่านั้น
หลายคนอาจมองว่าล้าหลังไปแล้วหรือเปล่า ต้องบอกว่ามีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม การได้นั่งรถม้าเที่ยวชมเมือง ได้ยินเสียงเกือกม้า บรรยากาศเหล่านี้เสมือนได้ย้อนเวลาไปสู่โลกยุคก่อน
สิ่งนี้แลกมากับการถูกกร่นด่าจากบรรดานักสิทธิสัตว์ทั่วโลก หลายฝ่ายมุ่งเป้าไปว่าทำไมบรัสเซลส์ถึงยังทรมานม้าอยู่ ไม่สามารถทำธุรกิจทัวร์ในรูปแบบอื่นได้แล้วหรือ แม้แต่คนในกรุงบรัสเซลส์เองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะนั่งรถม้าทัวร์เมือง
ในที่สุดภาคการขนส่งเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน (อีกครั้ง) เมื่อเมืองบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมตัดสินใจว่าหลังจากนี้จะแบนรถม้า ที่ใช้ม้าในการลากเลื่อน พร้อมนำเสนอ “รถม้า EV” หรือรถม้าพลังงานไฟฟ้า
กล่าวคือหลังจากนี้จะไม่มีม้าวิ่งให้บริการอีกแล้ว แต่รถม้าจะถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแทน โดยรถม้า EV รุ่นแรกได้เผยโฉมออกมาแล้ว ถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท Danthine ซึ่งเปิดเผยว่าได้รับแรงบันดาลใจจาก Robert Anderson ผู้ออกแบบรถม้าที่ได้รับความนิยมมากในยุค 1832
นตอนแรกศาลากลางเมือง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรถม้าที่ให้บริการในกรุงบรัสเซลส์ มองว่าหากไม่ใช้ม้าลากเลื่อน เกรงว่าจะสูญเสียเอกลักษณ์อันเก่าแก่ของเมืองไป ทว่า มิอาจต้านทานความเปลี่ยนแปลงได้ แถมการหันไปใช้พลังงานไฟฟ้าแทนการใช้แรงงานม้ามีแต่ได้กับได้
รถม้าที่ผลิตโดยบริษัท Danthine ถูกใช้งานแล้ว มี 2 คัน และจะเปิดตัวคันที่ 3 ในปี 2025 เว็บไซต์ Fast Company ระบุว่ารถม้า EV ชาร์จ 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ 120 กม. พร้อมทั้งการันตีว่าสามารถพานักท่องเที่ยวชมแลนด์มาร์คได้ครบทั้งเมืองแน่นอน
ที่มา: Fast Company
ข่าวที่เกี่ยวข้อง