SHORT CUT
ธุรกิจก่อสร้าง ใส่เกียร์เดินหน้ามุ่ง Green Construction รับเทรนด์โลก ESG หนุนธุรกิจก่อสร้างสมัยใหม่ ให้เติบโตแบบยั่งยืน
“Green Construction toward ESG Achievement” คืออีกหนึ่งเวทีเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่
โดยนายวิกรม วัชระคุปต์ ประธานคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงงานสัมมนาครั้งนี้ว่ามีเป้าหมายสำคัญเพื่อส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถใน การแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ผ่านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมุ่งเน้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี นวัตกรรม และแนวโน้มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม
สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2567 คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มขยายตัวประมาณร้อยละ 2 ต่อปี มูลค่าประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท โดยเป็นการขยายตัวจากการก่อสร้างของภาครัฐร้อยละ 2 ต่อปี มูลค่าประมาณ 810,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างที่เป็นโครงการต่อเนื่องจากอดีต เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟฟ้า
โครงการมอเตอร์เวย์ และการก่อสร้างในภาคเอกชนมูลค่าประมาณ 598,000 บาท ขยายตัวร้อยละ 3 ต่อปี โดยเป็นโครงการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก โรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการปรับปรุง ซ่อมแซม โรงแรมให้สอดคล้องกับการขยายตัวในภาคการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ผ่อนคลายลงแล้ว ปัจจัยข้างต้นเหล่านี้จึงส่งผลโดยตรงต่อแนวโน้มความต้องการใช้วัสดุก่อสร้าง ซึ่งคาดการณ์ว่าปี 2567-2568 ความต้องการจะเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 3.5 – 4 ต่อปี
นอกจากนี้ นายวิกรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การก่อสร้างอาคารสมัยใหม่ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Green Construction จะกลายเป็นรูปแบบการดำเนินธุรกิจกระแสหลักของไทยในอนาคตอันใกล้ โดยเป็นผลกระทบโดยตรงจากแนวโน้มการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของโลกที่มุ่งให้ความสำคัญกับความยั่งยืนหรือหลัก ESG อันได้แก่ การดูแลสิ่งแวดล้อม การรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารงานที่ยึดหลักธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับการแสวงหาผลกำไรของธุรกิจ
ด้านนายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง ส.อ.ท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ภาครัฐและภาคเอกชนตระหนักถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่มีความเกี่ยวเนื่องกับผู้ประกอบการในหลายธุรกิจ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องติดตามทิศทางการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด รวมถึงความท้าทายของอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยเฉพาะความท้าทายที่มาจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่เป็นแรงกดดันต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต
“ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้เท่าทันต่อแรงกดดันจากการดำเนินธุรกิจในระดับโลกที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะการนำกรอบ ESG มาเป็นตัวชี้วัดสำคัญขององค์กรในการแสดงถึงการประกอบกิจการที่ไม่ได้มุ่งแสวงหากำไรแต่เพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญต่อการใส่ใจสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม และบริหารงานอย่างมีธรรมาภิบาลควบคู่ไปด้วย”
ทั้งนี้หากไม่มีการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ จะทำให้เกิดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นเช่นกัน อาทิ เสียโอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่แบรนด์สินค้า ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ๆ สูญเสียความสามารถทางการแข่งขันจากการเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ อาทิ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) เป็นต้น
นอกจากนี้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยภายใต้นโยบาย ONE FTI สนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อน คลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้ผลิต 13 กลุ่ม อาทิ แก้วและกระจก แกรนิตและหินอ่อน เคมี เซรามิก เทคโนโลยีชีวภาพ ปูนซีเมนต์ พลาสติก ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ไม้อัดไม้บางและวัสดุแผ่น โรงเลื่อยและโรงอบไม้ เหล็ก หลังคาและอุปกรณ์ และอลูมิเนียม เป็นต้น
รวมทั้งยังมีสภาอุตสาหกรรมจังหวัด 5 ภูมิภาค ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิม หรือ First Industries ให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ Next – Gen Industries ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน และพร้อมรับมือต่อความท้าทายทุกรูปแบบอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นการบูรณาการร่วมกันอย่างครอบคลุมและรอบด้านทั้งในเชิงอุตสาหกรรมและในเชิงพื้นที่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง