SHORT CUT
งานวิจัยพบว่าไมโครพลาสติกขัดขวางการสังเคราะห์แสงของพืช ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง 4-13.5% ใน 25 ปี กระทบอาหารทั่วโลกโดยเฉพาะเอเชีย
งานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Science USA ได้ศึกษาผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อพืช 3,000 รายการ และพบว่าไมโครพลาสติกนั้นสามารถขัดขวางกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชหลายชนิด ในนั้นมีพืชผลที่มนุษย์นิยมบริโภคอยู่ด้วย
สิ่งที่งานวิจัยค้นพบคือ ไมโครพลาสติกที่ปะปนในสิ่งแวดล้อมอยู่ทั่วไป ลดกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชได้มากถึง 7-12% ซึ่งในจำนวนนี้ 6-18% คือพืชบนบก 2-12% พืชทะเล และ 4-14% สำหรับสำหร่ายน้ำจืด
คำถามคือมันไปทำรบกวนการสังเคราะห์แสงของพืชได้ยังไง งานวิจัยระบุว่าไมโครพลาสติกสามารถสร้างความเสียหายต่อพืชได้มากมายหลายวิธี แต่ที่เป็นรูปธรรมคือ เมื่อพืชดูดซับไมโครพลาสติกเข้าไป ไมโครพลาสติกจะปิดช่องทางสารอาหาร และน้ำ
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ มันจะกระตุ้นให้โมเลกุลที่ไม่เสถียรทำลายเซลล์ ทั้งยังปลดปล่อยสารเคมีที่เป็นพิษ ซึ่งสามารถลดระดับคลอโรฟิลล์ ที่ทำหน้าที่เป็นเม็ดสีสังเคราะห์แสงได้
นอกจากนี้ ผลกระทบอื่น ๆ คือ ไมโครพลาสติกก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ปิดกั้นแสงแดดไม่ให้ส่องถึงใบไม้ รวมถึงทำลายดินซึ่งเป็นแหล่งอาหารหลักของพืช แค่เท่านี้ก็อันตรายชนิดเราจินตนาการไม่ถึงแล้ว
เมื่อกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชถูกรบกวน (จากไมโครพลาสติก) อาจส่งผลกระทบต่ออุปทานอาหารทั่วทั้งโลก ซึ่งหากอ้างอิงงานวิจัยชิ้นนี้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นคือ ผลผลิตทางการเกษตรของพืชผลทั่วโลก อาทิ ข้าวโพด ข้าวสาลี อาจลดลง 4-13.5% ในอีก 25 ปีข้างหน้า
เท่านั้นยังไม่พอ วิจัยชิ้นนี้ระบุว่า เมื่อพืชผลทางการเกษตรลดลง เอเชียอาจเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด (อนึ่งว่าประเทศส่วนใหญ่ในแถบนี้เป็นสังคมเกษตรกรรม) โดยพืชผลทั้งสามประเภทรวมกันระหว่าง 54-177 ล้านตันต่อปี
นี่ยังไม่พูดถึงอาหารทะเล ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากไมโครพลาสติกที่สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศทางน้ำ ทั้งนี้ วิจัยระบุในประเด็นนี้ว่าปลาและอาหารทะเล จะอยู่ระหว่าง 1-24 ล้านตันต่อปี ซึ่งคิดเป็นประมาณ 7% ของโปรตีนทั้งหมดที่อาจเลี้ยงผู้คนได้หลายสิบล้านคน
ดูท่าแล้วไมโครพลาสติกจิ๋วที่ตาเรามองไม่เห็น จะต่อยเราเจ็บกว่าที่คิด บทสรุปของงานวิจัยชิ้นนี้สรุปว่า ผลกระทบจากไมโครพลาสติกต่อพืชอาจทำให้มีคนขาดแคลนอาหารเพิ่มขึ้นอีก 400 ล้านคน ในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่นานเลยล่ะ...
ที่มา: The Guardian
ข่าวที่เกี่ยวข้อง