svasdssvasds

นักวิทย์สร้าง "หนูขนฟู" สายพันธุ์ใหม่ ปูทางสู่การคืนชีพแมมมอธ

นักวิทย์สร้าง "หนูขนฟู" สายพันธุ์ใหม่ ปูทางสู่การคืนชีพแมมมอธ

"หนูขนฟู" ถูกนักวิทยาศาสตร์สร้างขึ้นมาให้มีลักษณะหลายอย่างคล้ายกับ "แมมมอธ" สัตว์ใหญ่ยุคโบราณที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ท่ามกลางความคาดหวังที่จะคืนชีพพวกมันอีกครั้ง

นี่คือ "หนูขนฟู" สายพันธุ์ใหม่ ที่มีหนวดหยิกและขนอ่อนเป็นลอนยาวกว่าหนูทดลองทั่วไปถึง 3 เท่า และมีลักษณะหลายอย่างที่คล้ายแมมมอธ พวกมันได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ของ Colossal Biosciences บริษัทเอกชนที่อยู่เบื้องหลังความพยายามในการฟื้นคืนชีพแมมมอธและสัตว์ที่สูญพันธุ์อื่นๆ

Colossal ระบุว่า หนูขนฟูเหล่านี้จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างลำดับ DNA เฉพาะ และลักษณะทางกายภาพ ซึ่งทำให้แมมมอธที่สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนสามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในสภาพอากาศหนาวเย็นได้ นับเป็นก้าวสำคัญในการพิสูจน์แนวทางของพวกเขาที่มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูลักษณะที่สูญหายไปจากการสูญพันธุ์

นักวิทย์สร้าง \"หนูขนฟู\" สายพันธุ์ใหม่ ปูทางสู่การคืนชีพแมมมอธ

ในการสร้างหนูขนฟูนั้น พวกเขาได้ระบุรูปแบบทางพันธุกรรมที่แตกต่างกันระหว่างแมมมอธและญาติใกล้ชิดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งก็คือ "ช้างเอเชีย" จากนั้นจึงระบุตัวแปรที่ต้องการ เช่น เนื้อขน สีขน ความยาว ความหนา และไขมันในร่างกาย ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มแก้ไขยีนหลายๆ ยีนของหนูในเวลาเดียวกัน จนได้ลักษณะขนปุยตามที่คาดหวัง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดหลังจากนี้คือไม่มีสิ่งใดยืนยันได้ว่าหนูที่ถูกดัดแปลงร่างกายให้มีขนคล้ายแมมมอธ จะได้รับความสามารถทนทานต่อความหนาวเย็นมาด้วยหรือไม่ และนักวิทยาศาสตร์จะทำความเข้าใจความเชื่อมโรงระหว่างพฤติกรรมและสรีระที่ยังแตกต่างจากแมมมอธอย่างมากเพื่อนำไปเปรียบเทียบกันได้อย่างไร

นักวิทย์สร้าง \"หนูขนฟู\" สายพันธุ์ใหม่ ปูทางสู่การคืนชีพแมมมอธ

ขณะที่ Colossal ระดมทุนได้ 435 ล้านเหรียญสหรัฐนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2021 โดยมีแผนที่จะสร้างแมมมอธ นกโดโด และเสือแทสเมเนียนขึ้นมาใหม่ ด้วยการแก้ไขจีโนมของญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของแต่ละสายพันธุ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อนำพวกมันกลับคืนสู่แหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ

ในกรณีของแมมมอธ บริษัทอ้างว่าการที่มีสัตว์คล้ายแมมมอธเดินโซเซไปมาในอาร์กติกจะทำให้หิมะและหญ้าที่ทำหน้าที่เป็นฉนวนของพื้นดินถูกบีบอัด ทำให้การละลายของชั้นดินเยือกแข็งช้าลงและการปล่อยคาร์บอนที่มีอยู่ในระบบนิเวศที่เปราะบางนี้ลดลง ซึ่งช่วยลดผลกระทบของภาวะโลกร้อนได้ และเคยตั้งเป้าว่าจะปล่อยลูกแมมมอธขนฟูตัวแรกให้ได้ภายในปี 2028