แม้ว่าปัจจุบัน หลายประเทศทั่วโลกจะมีความก้าวหน้าอย่างมากในการพัฒนาระบบป้องกันภัยทางทะเล เช่น ระบบเตือนภัยล่วงหน้า แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความก้าวหน้าดังกล่าวคือ ‘บ่อเกิดความประมาท’ ที่อาจเป็นภัยเมื่อเกิดสึนามิขึ้นอีกครั้ง
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เวลาประมาณ 08.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.2 ถึง 9.3 นอกชายฝั่งตะวันตกของจังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา มีผู้เสียชีวิตหรือสูญหายจากคลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นใน 14 ประเทศรวม 227,898 คน
อินโดนีเซียได้รับผลกระทบหนักที่สุด รองลงมาคือศรีลังกาและไทย ส่วนผู้เสียชีวิตจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากที่สุดคือเมืองพอร์ตเอลิซาเบธในแอฟริกาใต้ โดยมีผู้เสียชีวิต 131,000 คน นับเป็นภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากฟิลิปปินส์
แม้ว่าปัจจุบัน หลายประเทศทั่วโลกจะมีความก้าวหน้าอย่างมากในการพัฒนาระบบป้องกันภัยทางทะเล เช่น ระบบเตือนภัยล่วงหน้า แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความก้าวหน้าดังกล่าวคือ ‘บ่อเกิดความประมาท’ เมื่อความทรงจำการทำลายล้างที่เกิดขึ้นในปี 2547 เริ่มเลือนลางลงจากความทรงจำของผู้คน
เดวิด แม็กโกเวิร์น อาจารย์อาวุโสและผู้เชี่ยวชาญด้านสึนามิจากมหาวิทยาลัยลอนดอนเซาท์แบงก์ กล่าวว่า สิ่งที่เข้าใจผิดกันก็คือ ‘สึนามิ’ เป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ความจริงแล้วมันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ปัญหาคือความเข้าใจผิดดังกล่าวยิ่งทำให้นักวิจัยทั่วโลกประสบปัญหาขาดแคลนเงินทุน สำหรับการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสึนามิ
แม็กโกเวิร์นบอกว่า ความคาดหวังเดียวในวันครบรอบ 20 ปี นับจากสึนามิครั้งนั้น คือทุกคนจะต้องไม่ลืมความเสี่ยงที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้น ไม่หลงเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบหลายร้อยปี และให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสียหายจากสึนามิ ภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดที่มนุษยชาติต้องเผชิญ
ฟิล คัมมินส์ นักแผ่นดินไหววิทยา คือผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่ "ทำนาย" การเกิดคลื่นสึนามิในปี 2547 ได้อย่างแม่นยำ โดยก่อนคลื่นสึนามิจะพัดถล่มมหาสมุทรอินเดียเพียง 4 เดือน เขาได้ออกมาเรียกร้องให้ขยายระบบเตือนภัยเพิ่มขึ้นในบริเวณดังกล่าว และเตือนว่าอาจมีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ซึ่งอาจก่อให้เกิดคลื่นสึนามิที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อหลายประเทศ น่าเสียดายที่ทุกคนรวมถึงตัวเขาเองก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนั้น
แม้ตอนนี้จะผ่านไป 20 ปีแล้ว คัมมินส์ยังคงรู้สึกกังวลว่าโศกนาฏกรรมจากธรรมชาตินี้กำลังจะเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเมื่อไหร่ เพราะเขามองว่าบริเวณดังกล่าวนับเป็น “สถานที่อันดับหนึ่ง” ที่แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิครั้งใหญ่จะมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำอีก
ปัญหาคือแม้ปัจจุบันจะมีการตระหนักรู้ถึงอันตราย แต่กลับแทบไม่มีการให้ความสำคัญ เนื่องจากผู้คนเริ่มนิ่งนอนใจและไม่คิดว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน จำนวนประชากรที่อาศัยบริเวณชายฝั่งในพื้นที่เสี่ยงสูงยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความเสียหายจากครั้งก่อนได้ทำให้ราคาที่ดินถูกลง ซึ่งนั่นอาจหมายถึงการเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นหากเกิดภัยพิบัติขึ้นอีกครั้ง
สิ่งที่นักแผ่นดินไหววิทยาคนนี้ย้ำเตือนอย่างหนักแน่นคือ "คลื่นสึนามิยักษ์ลูกใหม่" สามารถพัดเข้ามาได้ทุกเมื่อโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า และความสูญเสียจะร้ายแรงกว่าเดิมมาก หากไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดี โดยเฉพาะการปลูกฝังถึงวิธีรับมือให้กับผู้คนในชุมชน