3 ม.ค. ของทุกปี ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ เด็กหญิงมหัศจรรย์จากสวีเดน ที่ตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เธออายุได้ 8 ขวบ "เกรตา ธันเบิร์ก" หนึ่งในพลังคนรุ่นใหม่ ที่อุทิศชีวิตเพื่อเปล่งเสียงแทนโลกใบนี้ ติดตามชีวิตของเธอได้ที่บทความนี้
“คุณบอกว่าคุณรักลูกหลานของคุณเหนือสิ่งอื่นใด แต่คุณกำลังขโมยอนาคตของพวกเขาไปต่อหน้าต่อตา”
คนตัวเล็กเปลี่ยนโลก เราเห็นกันมานักต่อนักแล้วในประวัติศาสตร์โลก เพราะบางทีสังคมก็ต้องการไม้มากระทุ้งให้ตื่นตัวกันสักหน่อย เพื่อให้หูตาสว่างขึ้นมาบ้าง มิใช่ปล่อยให้ “อาการผิดปกติ” กลายเป็นเรื่องปกติในสังคม
ในความหมายคือ เราควรลากต้นตอ สาเหตุ และผู้ที่มีส่วนทำให้โลกร้อน ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ออกมารับผลการกระทำ และเร่งแก้ไขโดยด่วน เราในฐานะพลเมืองโลก ต้องออกมาส่งเสียง เรียกร้องถึงกลุ่มคนเหล่านี้ให้ดังมากขึ้นอีก อย่าปล่อยให้โลกถูกกลืนไปมากกว่านี้
“เด็กอย่างพวกเราไม่น่าจะต้องออกมาทำอะไรแบบนี้ แต่เมื่อไม่มีใครทำอะไรเลย และอนาคตของพวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเราต้องเดินหน้าทำสิ่งนี้ต่อไป เพราะเราต้องการความหวังและความฝันของพวกเรากลับคืนมา”
เกรตา ธันเบิร์ก เป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ที่เริ่มสนใจและตระหนักถึง“ความผิดปกติ” เรื่องสิ่งแวดล้อมและโลก มาตั้งแต่เธอยังวัยเยาว์ แม้ภาพจำของเธออาจดูเป็นเด็กน้อยเกรี้ยวกราด อย่าให้เรื่องผิวเผินเช่นนี้ มาบิดเบือน หรือบดบังถ้อยความสำคัญที่หญิงสาวชาวสวีเดนผู้นี้ต้องการจะสื่อ
เกรตา ธันเบิร์ก เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในวงแคบ ๆ เมื่อเธอหยุดโรงเรียนในวันศุกร์ เพื่อไปประท้วงที่หน้ารัฐสภาสวีเดน อันเนื่องมาจากต้องการแสดงออก และเรียกร้องถึงความรับผิดชอบของรัฐบาลสวีเดน ที่ปล่อยให้อากาศในสวีเดนร้อนเป็นประวัติการณ์
เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของเธอ Spring News ชวนย้อนวีรกรรมของเด็กน้อยมหัศจรรย์รายนี้กันสักเล็กน้อย เผื่อว่าเรื่องราวของเธอพอจะโน้มน้าวใจให้ผู้อ่านหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น มากสักเล็กน้อยถึงปานกลางก็ยังดี
เมล็ดพันธุ์ของโลกใบนี้
เกรตา ธันเบิร์ก เกิดเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2003 ที่เมืองสตอกโฮล์ม (Stockholm) ประเทศสวีเดน จุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอหันมาสนใจและให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของโลกนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อเธออายุได้เพียง 8 กะรัตเท่านั้น
ด้วยวัยเพียงเท่านั้น เธอทำอะไรไม่ได้มาก หัวของเธอเต็มไปด้วยคำถามมากมายต่อโลกใบนี้ ต่อผู้คนในสังคม เหตุเพราะเธอสังเกตว่าทำไมคนอื่น ๆ ดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องโลกร้อนเลย ทุกคนปฏิบัติประหนึ่งว่าปัญหาเรื่องโลกร้อนไม่เคยมีอยู่
ช่วงเวลาตรงนี้เอง เป็นช่วงที่ฟอร์มตัวตนของเธอขึ้นมา เกรตาเดินเครื่องเต็มกำลังในการศึกษาเรื่องผลกระทบในแง่ลบที่โลกได้รับ พร้อมทั้งศึกษาสายพานด้วยว่า ต้นตอของปัญหาคืออะไร
ในช่วงแรก ในฐานะเด็กคนหนึ่ง มีเรื่องเล่าว่า เธอพยายามปลูกผักไว้กินเองในสวนหลังบ้าน ขอให้พ่อแม่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อประหยัดพลังงานในครัวเรือน พร้อมทั้งตั้งปณิธานเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “เธอจะไม่ขึ้นเครื่องบินอีก”
ถึงตรงนี้หลายคนคงตั้งคำถามว่า สุดโต่งเกินไปไหม? ในแง่ปฏิบัติจะทำได้จริงเหรอ? บางทีเธอก็ไม่เคยออกมาตอบคำถามพวกนี้ ทว่า ส่งคำตอบให้ผ่านการทำให้เห็น
โดดเรียน ไปประท้วง
แม้จะอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน เกรตาก็แบ่งเวลาเรียนไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ด้วย เช่น การประท้วงเรื่องโลกร้อน แต่คำว่า “แบ่งเวลา” ไม่ได้หมายถึงเวลาว่างเช่นวันเสาร์อาทิตย์แต่อย่างใด แต่เป็น “วันศุกร์” สุดสัปดาห์
เมื่อพูดถึงเรื่องการประท้วงของเกรตา หากไม่พูดถึงปี 2018 คงจะกะไรอยู่ ในปีนั้นประเทศสวีเดนกลายเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ (262 ปี) แล้วมีหรือเด็กน้อยผู้มีไฟเรื่องสิ่งแวดล้อมแรงกล้า จะไม่ออกมาส่งเสียงถึงเรื่องดังกล่าว
ในช่วงแรกเกรตา ยังสงวนท่าทีอยู่ เธอเอ่ยปากชวนเพื่อนให้หยุดเรียนแล้วไปประท้วงด้วยกัน ผลปรากฏว่า เพื่อนเธอส่ายหัว ไม่เห็นด้วยกันเป็นแถบ ๆ
หากเรายืนหยัดด้วยอุดมการณ์ ไม่ว่าจะเหลือเราแค่คนเดียว เราก็จะทำ นี่คงเป็นนิยามการกระทำของเกรตาในช่วงนั้น ณ ตอนนั้น เกรตาขึ้นมัธยม 3 แล้ว ในวันที่ 20 สิงหาคม 2018 เธอตัดสินใจไม่เข้าเรียน เพื่อไปยืนประท้วงที่บริเวณหน้ารัฐสภาสวีเดน พร้อมกับชูป้ายยั่วล้อสายตาสาธารณชนว่า
“ฉันไม่ไปเรียนหนังสือ เพื่อมาประท้วงโลกร้อน”
ไอคอนต่อสู้เพื่อโลก
“ฉันสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่า ฉันจะทำทุกอย่างที่ฉันพอจะทำได้ เราไม่สามารถเดินตามเกมปกติ เพื่อช่วยโลกของเราได้อีกแล้ว”
หลังจากนั้นมา เกรตา ก็เดินหน้าทำภารกิจจักรวาลเรื่อยมา เรามักเห็นข่าวเกรตาถูกจับอยู่บ่อย ๆ เหตุเพราะเธอและเพื่อน ๆ มักไปปักหลักประท้วงบริเวณสถานที่จัดการประชุมในหัวข้อที่สุ่มเสี่ยงจะทำให้โลกร้อนอาทิ การใช้พลังงานเชื้อเพลิง
ยกตัวอย่างการประชุมด้านสภาพอากาศ COP28 ที่ผ่านมา ที่เพิ่งหาข้อตกลงร่วมกันได้ ถึงเรื่องการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ก่อนหน้านั้น เกรตาเองก็ได้ออกมากล่าวถึง คุณ ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายที่เข้าร่วมด้วยถ้อยความที่แสบคันตามสไตล์
หนึ่งเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความ “รำคาญเด็ก” ของสังคมอเมริกัน (จริง ๆ ต้องบอกว่าสังคมโลก) นั่นคือ เหตุการณ์ที่อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาทวิตผ่าน X ว่า
“น่าขำชะมัด เด็กน้อยเกรตาควรจัดการกับความโกรธของเธอได้ดีกว่านี้นะ ลองไปหาดูตามหนังเก่า ๆ ก็น่าจะพอมีนะ สบาย ๆ บ้าง เกรตา อย่าเครียด” ทรัมป์ โพสต์ผ่าน X เมื่อปี 2019
ทราบกันดีว่า หลังจากนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ก็กระเด็นออกจากเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะแพ้เลือกตั้งให้กับ ปู่ไบเดน จากพรรคเดโมแครต แค้นนี้ต้องชำระ!
เกรตา หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ พ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว เธอก็ได้ออกมาตอบโต้บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ด้วยข้อความที่ถอดกันมาอย่างกับแกะ เปลี่ยนแค่ชื่อเธอเป็นชื่อของ ทรัมป์ก็เท่านั้น
“น่าขำชะมัด ทรัมป์ควรจัดการกับความโกรธของเขาได้ดีกว่านี้นะ ลองไปหาดูตามหนังเก่า ๆ ก็น่าจะพอมีนะ สบาย ๆ บ้างหน่าทรัมป์ อย่าเครียดไปเลย”
เหตุการณ์นี้บอกอะไร?
มิเพียงเป็นแค่การโต้วาทีผ่านตัวอักษรเป็นแน่ เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนมุมมองของผู้ใหญ่ที่มีต่อหนูน้อย ที่วัน ๆ เอาแต่โพล่งเรื่องโลกร้อน สิ่งแวดล้อม ทำอะไรก็ดูจริงจัง ซีเรียสกับชีวิตไปหมด คำถามคือ เรามองปัญหาที่โลกกำลังเผชิญในแว่นตาของใครกันล่ะ?
บทสรุป ถึงตรงนี้ มีหนึ่งประโยคที่เวียนเข้ามาในหัวอย่างไม่ขาดสาย หากโลกนี้มีคนอย่าง “เกรตา ธันเบิร์ก” สักหมื่นคน แสนคน ผู้มีอำนาจที่วัน ๆ เอาแต่เพิกเฉยต่อเรื่องสิ่งแวดล้อม ต้องมาเจอเห็บหมัดไล่กัดให้เจ็บแสบ พร้อมทิ้งรอย ให้เจ็บปวดเล่น ๆ คงอภิรมย์น่าดู
ทว่า นั่นเป็นเพียงจินตนาการส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น หลักใหญ่ใจความสำคัญในเรื่องนี้คือ การ take action อย่างจริงจัง จากประเทศร่ำรวย ผู้มีอำนาจ หรือใครก็ตามที่เป็นต้นธารปัญหาที่ทำให้โลกต้องเผชิญกับสภาวะอันน่าสยดสยองเช่นนี้
เนื้อหาที่น่าสนใจ